ชี้ทำอยู่-ทำแล้ว-จะทำอีก ‘ถ.ข้าวสาร’ปลื้มผับปิดตี4 คาดรายได้สะพัดกว่า30% อนุทินปัดขยายเวลาดริงก์
ธุรกิจแอลกอฮอล์ขานรับปิดผับตี 4 นำร่อง 4 จังหวัด ปีใหม่เงินเข้าระบบ 2-3 พันล้าน มาถูกจังหวะรับไฮซีซั่น ถนนข้าวสารดี๊ด๊ารายได้เพิ่ม 30%
‘เศรษฐา’รับผลโพลเร่งแก้ศก.
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่นิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE2) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ผ่านโพล มติชนxเดลินิวส์ ว่า ผลสำรวจแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง คือ เศรษฐกิจและเรื่องการเมือง ข้อเสนอเรื่องการลดค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงราคาน้ำมัน รัฐบาล ได้ทำแล้ว ทำอยู่ และจะทำอีก แต่เรื่องที่ใหญ่ กว่านั้นคือปัญหาหนี้สิน ได้ประชุมเรื่องนี้เบื้องต้น ไปแล้วกับฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการคลัง และฝ่ายปกครอง จะมีมาตรการเรื่องนี้ออกมา ในเร็วๆ นี้ ขณะที่โครงการเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท จะเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะดำเนินการ รวมถึงต้องผลักดันให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนเพื่อสร้างงาน และห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ธุรกิจ ในประเทศไทยเบ่งบานขึ้นได้
ยันต้องแก้ควบคู่ทุกเรื่อง
นายเศรษฐากล่าวว่า สำหรับข้อเสนอ อยากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการจัดทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ 2560 ขณะนี้ได้เขียนไทม์ไลน์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้อย่างชัดเจนแล้ว โดยพัฒนาไปในทิศทางที่ดี โพลที่ออกมา ไม่ได้เป็นที่แปลกใจ เราทำงานอย่าง เต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ยังต้องทำควบคู่ไปกับเรื่องของปัญหาการเมืองหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า บางเรื่องที่คนพูดน้อยไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ เช่น เรื่องของสมรสเท่าเทียม รวมถึงสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ สิ่งเหล่านี้ต้องยกระดับขึ้นมา ขอย้ำว่าต้องทำไปพร้อมกันทุกอย่าง
นโยบายรบ.รับโพลแก้ปากท้อง
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย รองศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงผลโพลมติชนxเดลินิวส์ ซึ่งพบว่า 67.59% ต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้องและ 32.41% ต้องการให้เร่งแก้ไขปัญหาการเมือง-ปฏิรูปโครงสร้างสังคม ว่าผลที่ออกมาจากกลุ่มตัวอย่างที่เยอะ กว้างขวาง สิ่งที่สะท้อนออกมาจะเห็นว่า ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเพราะมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะการลดค่าน้ำ ค่าไฟ แก้ปัญหา หนี้สินตามต่อด้วยนโยบายรัฐบาล เงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจวันนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนเยอะ ซึ่งก็เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่สอดรับกัน พอดี
อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจ คือกลุ่มตัวอย่างที่ตอบคำถาม และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่น้อยกว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ตรงนี้คงสอดรับกับกลุ่มประชากรที่ส่วนใหญ่จะเป็นเจน X เจน Y อายุประมาณ 40-50 ปี ขณะที่เจน Z อายุประมาณ 20 กว่าๆ คนกลุ่มนี้ เป็นสัดส่วนที่น้อยในการสำรวจครั้งนี้ จึงไม่น่า แปลกใจว่า มุมมองเรื่องการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างแบบที่คนรุ่นใหม่มักจะพูดถึง ไม่ได้กลายมาเป็นประเด็นหลัก ขณะเดียวกันเรื่องของรายได้ของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 10,000-20,000 บาท ซึ่งกลุ่มนี้แน่นอนว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ และผลกระทบจากราคาสาธารณูปโภคที่สูง ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟต่างๆ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันของเขา ผลการสำรวจที่ออกมาจึงเห็นได้ว่าเน้นไปที่เรื่องเศรษฐกิจมากกว่า
2เดือนแรกตอบโจทย์ลดค่าน้ำ-ไฟ
เมื่อถามว่า ความต้องการของประชาชนที่สะท้อนผ่านโพลมติชนxเดลินิวส์ กับการทำงานของรัฐบาล นับตั้งแต่ที่เข้ามาบริหารงานมีความสอดรับกัน หรือมีรูปธรรมอะไรบ้าง รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวว่า อย่างค่าน้ำ ค่าไฟ ก็มีมติ ครม.ว่าให้ลดค่าสาธารณูปโภคเหล่านี้อยู่ ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลก็กำลังทำอยู่ คิดว่าตอบโจทย์อยู่พอสมควร ส่วนเรื่องทางการเมือง การแก้รัฐธรรมนูญก็จะเห็นว่ามีการตั้งคณะทำงานแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขับเคลื่อนกันอยู่ ดังนั้น เห็นว่าสิ่งที่ รัฐบาลทำมาในช่วง 2 เดือน ก็ตอบโจทย์อยู่ พอสมควร แต่แน่นอนปฏิเสธไม่ได้ว่า ต้องมีการแก้ไขปัญหาในระยะยาวด้วย การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม การสร้างโอกาส ปัญหาการ กระจายรายได้ การผูกขาด เป็นต้น ส่วนการลดค่าน้ำ ค่าไฟนั้น เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น
เร่งดิจิทัลวอลเล็ตความหวังคน
“คิดว่าในแง่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า สามารถตอบสนองได้ในระดับหนึ่ง เช่น ลดค่าน้ำ ค่าไฟ การแก้ราคาสินค้า ควบคุมราคาสินค้าบางประเภท เช่น น้ำตาล รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจากการท่องเที่ยว กระทั่งดิจิทัลวอลเล็ตที่สะดุดอยู่นั้น ต้องเร่ง ขับเคลื่อน เพราะเป็นความหวังของคนส่วนหนึ่ง เพราะจากผลสำรวจที่ออกมา แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ก็จริง แต่ยังอยู่ในสิ่งที่ประชาชนอยากได้ อยากเห็น ดังนั้น สิ่งที่ยังเป็นปัญหาอุปสรรคอยู่ ทั้งในเชิงกฎหมาย เชิงโครงสร้างการบริหารเหล่านี้ ก็ต้องดำเนินการปลดล็อก เพื่อขับเคลื่อนนโยบายครบถ้วนตามที่ได้รับปากประชาชนเอาไว้” รศ.ดร.ยุทธพรกล่าว
เปิดผับตี4-ไม่ยืดดื่มสุรา
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเปิดงานระหว่างทำหน้าที่ประธานพิธีกฐินช้าง ที่ศูนย์คชศึกษา จ.สุรินทร์ ตอนหนึ่งว่า ตอนนี้ พวกเราต้องเตรียมตัวเข้าสู่ปีใหม่ โดยปีนี้มีทั้ง รัฐบาลใหม่ โอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้นที่ฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจชะงักไปเป็นเวลาหลายปี ทุกอย่างกำลังจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่เป็นปกติที่ไทยมีความพร้อมในการกระตุ้น เศรษฐกิจ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยว
“ขออย่างเดียวให้ทุกคนเคารพกฎหมาย เช่น กำลังเปิดให้ขยายเวลาปิดสถานบันเทิง สถานการบริการ แต่ไม่ได้ขยายเวลาให้ดื่มสุรามากขึ้น สามารถอยู่ในร้านอาหารได้พูดคุยกันมากขึ้น เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น รวมถึงสินค้าและบริการที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ก็จะขายได้มากขึ้น รวมถึงต้อนรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ขออย่างเดียวอย่าให้มียาและมีการอนุญาตให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าสถานบริการ รวมถึง พกอาวุธเข้าสถานบริการ หากปฏิบัติได้ตามนี้ ทางรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยพร้อมจะส่งเสริมการประกอบสัมมาอาชีพอย่างเต็มที่” นายอนุทินกล่าว
เล็ง3โซนนิ่งกทม.เปิดถึงตี4
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยที่สำนักงานเขตบึงกุ่ม ว่ายังไม่มีการเปิดสถานบริการทั่วไปถึงเวลา 04.00 น. ปัจจุบันสถานบริการจะมีอยู่ 2 แบบ คือสถานบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย กับสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการสถานประกอบการทั้งหมดในเขตบึงกุ่มไม่มีสถานบริการเลย จะเป็นร้านอาหารที่มีดนตรีและขายสุรา แอลกอฮอล์ ร้านเหล่านี้เปิดได้ถึงเวลา 01.00 น. ยังไม่ขยายเวลา ส่วนสถานบริการที่ขยายเวลาจะอยู่ในโซนนิ่ง 3 โซน ได้แก่ พัฒน์พงศ์ (สีลม) อาร์ซีเอ (เพชรบุรีตัดใหม่) และรัชดาภิเษก และกลุ่มที่ได้รับใบอนุญาตสถานประกอบการก่อน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบริการ ตัวนี้มีประมาณ 200 กว่าแห่งในกรุงเทพฯเรื่องนี้หากกระทรวงมหาดไทย (มท.) ตกลงคงออกเป็นพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ขยายเวลาให้ถึงตี 4 รวมถึงสถานบริการที่อยู่ในโรงแรมด้วย จะทำให้สามารถดูแลได้ละเอียดขึ้นและไม่กระทบกระเทือนต่อประชาชนทั่วไป
ใช้เอไอคุมใบอนุญาตแก้ตีกิน
“ในภาพรวมสถานประกอบการร้านค้าต่างๆ เช่น ย่านทองหล่อ ยังปิดเวลาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ขณะนี้จะเน้นเป็นสถานบริการซึ่งอยู่ในโซนนิ่งก่อนตามที่กฎหมายกำหนด” นายชัชชาติกล่าว
ด้าน พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า มท.เป็นเจ้าภาพ ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ ซึ่ง กทม.จะจัดการตามที่ มท.เสนอ คือสถานบริการที่มีใบอนุญาตสถานบริการตามมาตรา 3 (1) (2) (3) (4) และ (5) ให้ขยายเวลาถึงเวลา 04.00 น. ส่วนร้านอาหารที่มีดนตรี มีการแสดงดนตรี มีการจำหน่ายสุราในที่ประชุมแจ้งว่าอาจจะขยายเวลาให้ถึง 02.00 น.
พล.ต.อ.อดิศร์กล่าวอีกว่า ในส่วนของกฎหมาย กฎกระทรวง หรือประกาศสำนักนายกฯ ทางฝ่ายรัฐบาลจะเป็นผู้ดำเนินการ กทม.อนุญาตเฉพาะในส่วนของร้านอาหาร สะสมอาหาร จำหน่ายอาหาร และสถานประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ คือเรื่องการใช้เสียง การแสดงดนตรี ซึ่งผู้ว่าฯกทม.ได้สั่งการว่าให้เข้มงวด ในเรื่องของการออกใบอนุญาต และใช้เอไอ ในการควบคุมการประกอบกิจการเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบหรือที่เรียกว่า ตีกิน กับเรื่องของ ใบอนุญาตสถานบริการ
ธุรกิจแอลกอฮอล์เด้งรับผับตี4
นายธนากร คุปตจิตต์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผย “มติชน” ถึงกรณีเปิดสถานบันเทิงถึง 04.00 น. ในกรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, ภูเก็ต และชลบุรี ว่า ขอขอบคุณ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้พิจารณาเห็นชอบให้เปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. ใน 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และชลบุรี ซึ่งเป็นการอนุญาตในบางพื้นที่โดยจัดให้เป็นโซนนิ่ง เพื่อเป็นการนำร่อง โดยพิจารณาในบางพื้นที่ใน 4 จังหวัด ที่จะรองรับนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจในภาพรวมได้
ด้านผู้ประกอบการก็ต้องมีความรับผิดชอบที่จะต้องดำเนินการเพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาให้กับสังคมและความมั่นคงควบคู่ไปด้วย โดยต้องไม่มีหรือไม่ปล่อยปละละเลยให้มีเรื่องยาเสพติด อาวุธ เด็กและเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ในสถานบริการ ขณะเดียวกันต้องช่วยกันรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับควบคู่ไปด้วย และต้องไม่ก่อความเดือดร้อนรำคาญด้านเสียงจากสถานบันเทิงกับชุมชน
นายธนากรกล่าวว่า การอนุญาตดังกล่าวไม่ได้จะทำให้สถานบันเทิงมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่จะทำให้ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพนักงานลูกจ้างและครอบครัวของเขามีรายได้เพิ่มตามไปด้วย เช่น ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ร้านค้าปลีก รถรับจ้างสาธารณะ โรงแรม นักร้องนักแสดง นักดนตรี พนักงานบริการ เป็นต้น เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในช่วงกลางคืน ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่มองเห็นถึงโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการ ท่องเที่ยวกลางคืน
มาถูกจังหวะรับไฮซีซั่น
“การกำหนดจะเริ่มวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ถือว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวกลางคืนได้ทัน และการขยายเวลาปิดถึงตี 4 จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จากการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว” นายธนากรกล่าว
นายธนากรกล่าวว่า ทั้งนี้ การเปิดได้มากขึ้นคงไม่ได้มองในมิติด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว ด้านมิติของสังคมและความมั่นคงก็ถูกพิจารณาควบคู่ไปด้วย เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในประโยชน์สาธารณะ เพราะการนำร่อง 4 จังหวัด จะมีการติดตามประเมินความคุ้มค่า ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นควบคู่ไปด้วย เพื่อจะได้ทำการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
นายธนากรกล่าวว่า ในส่วนของผู้ประกอบการยินดีให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามข้อตกลง ร่วมกันกับทางราชการ เพื่อให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยวภาคกลางคืนร่วมกันอย่างคุ้มค่า และหวังว่าเมื่อมีการประเมินการอนุญาตเปิดสถานบันเทิงจนถึงตี 4 นี้ว่ามีประโยชน์ คุ้มค่า เหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว ขอให้รัฐบาลได้พิจารณาทบทวนมาตรการอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น ปลดล็อกห้ามจำหน่ายช่วง 14.00-17.00 น. และปรับโซนนิ่งการห้ามจำหน่าย รวมถึงกฎระเบียบที่สอดคล้องกับการอนุมัติขยายเวลาให้บริการ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยื่นถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว
“เราไม่ได้มองว่าการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 จะเป็นการเรียกนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติมาเมืองไทย แต่มองว่าโอกาสที่ เกี่ยวกับเวลาการเปิดหรือขยายเวลานี้ เป็นการสร้างโอกาสในการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น สะท้อนไปถึงการสร้างงาน การจับจ่ายใช้สอยมีการหมุนเวียนมากขึ้น สิ่งสำคัญการขยายเวลาทำให้การสังสรรค์ การดื่มมีเวลามากขึ้น ไม่ทำให้ดื่มเร็วเกินไป จนทำให้เมามากและไม่ทำให้เป็นการทำลายสุขภาพมากอีกด้วย”
ผู้สื่อข่าวรายงาน จากการสำรวจความเห็นเจ้าของสถานบันเทิงกลางคืน ยืนยันว่าการเปิดบริการ จะสร้างรายได้ทุกมิติ อย่างต่ำ 30% และเพิ่มเงินเข้าระบบเศรษฐกิจไม่น้อยว่า 2-3 พันล้าน ในช่วงปีใหม่ บนพื้นฐานจำนวนนักท่องเที่ยว เพิ่มขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเท่าตัวรับ ปีใหม่ 2567
ข้าวสารชี้หนุนรายได้30%
นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคม ผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีมากและผู้ประกอบการพร้อมรับนโยบายอยู่แล้ว ทั้งนี้ การปิดตี 4 จะต้องมีกฎที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้กระทบสังคม โดยเฉพาะร้านที่เปิดได้ต้องเป็นร้านที่ปิดมิดชิด เสียงจะได้ไม่รบกวนชุมชน โดยคาดว่ารายได้น่าจะเพิ่ม 20-30% จากกลุ่มนักท่องเที่ยวสถานบันเทิง โดยงานฮาโลวีนที่ผ่านมาได้ผลตอบรับดีมากมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่า 15,000 คน สร้างรายได้มากกว่าปีที่แล้ว 30% ส่วนงานเคาต์ดาวน์มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วคาดว่าจะมีศิลปินมากมายจากค่ายต่างๆ เข้าร่วมงาน ซึ่งเชื่อว่านักท่องเที่ยวและชาวไทยน่าจะเข้าร่วมงานมากกว่า 20,000 คน
“นโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องใช้วีซ่าเป็นนโยบายที่ดีสำหรับภาครัฐ ขั้นตอนต่อไปควรจะเปิดให้มากขึ้นเพื่อแข่งขันกับประเทศต่างๆ ที่หวังนักท่องเที่ยวอยู่” นายสง่ากล่าว
ป่าตองพร้อมเปิดผับตี4
นายวีรวิชญ์ เครือสมบัติ ประธานชมรม ผู้ประกอบการสถานบันเทิงหาดป่าตอง กล่าวว่า ในส่วนของสถานบันเทิงหาดป่าตอง มีความพร้อมการปลดล็อกเรื่องขยายเวลาให้บริการถึง 04.00 น. สอดรับกับนโยบายของนายเศรษฐา ซึ่งการขยายเวลาให้บริการสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แม้จะเปิดในพื้นที่โซนนิ่งแต่เป็นพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาใช้บริการมาก ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการบริการ รวมถึงเกิดการจ้างงานมากขึ้น ซึ่งการขยายเวลาจะเริ่มเปิดช่วงเดือนธันวาคมนี้ คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวมากขึ้นจากช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567
นายวีรวิชญ์กล่าวว่า การขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงนั้น สิ่งที่อยากให้รัฐบาลสนับสนุนต่อคือการดูแลความปลอดภัยแต่ละพื้นที่ให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดเหตุรุนแรง แม้ปกติจะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ดูแลความปลอดภัยแล้ว อยากให้เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งการเปิดในพื้นที่โซนนิ่งก่อนเป็นการทดลอง หากสถานการณ์เป็นไปได้ด้วยดี มีสัญญาณบวกอาจเพิ่มการเปิดบริการในโซนอื่นมากขึ้น
“ความต้องการของผู้ประกอบการต้องการเปิดให้บริการถึงตี 4 อยู่แล้ว เพราะบางร้านเปิดบริการช่วงที่ยังไม่มีการปลดล็อก ถือเป็นการทำธุรกิจผิดกฎหมายและยอมเสียค่าส่วยให้คนในพื้นที่ แต่เมื่อมีการขยายเวลาอย่างถูกต้องแล้วสามารถลดปัญหานี้ ในทางกลับกันเมื่อนักท่องเที่ยวรับรู้ว่ามีขยายเวลาอาจเป็นแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยว เดินทางเข้ามามากขึ้น” นายวีรวิชญ์กล่าว
แนะเพิ่มโทษคุมอุบัติเหตุ
นายวีรวิชญ์กล่าวว่า กรณีที่กระแสสังคม ไม่เห็นด้วยกับการขยายเวลา เพราะกังวลปัญหาอุบัติเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์นั้น ปกติแล้วก่อนหน้าที่จะมีการขยายเวลา อุบัติเหตุไม่ได้ลดลง และไม่อยากให้เหมารวมว่าผู้ก่อเหตุเป็นผู้ที่เดินทางไปกินดื่มอยู่ที่สถานบันเทิง เนื่องจากอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงมองว่าการแก้ปัญหาเรื่องการลดอุบัติเหตุ อยากให้เพิ่มเรื่องความเข้มงวดด้านกฎหมาย อาจมีการเพิ่มโทษ หากมีคนทำผิดฐานเมาแล้วขับจะปรับเพิ่มโทษทั้งจำและปรับอย่างไร ให้ผู้อยู่ใต้กฎหมาย หรือประชาชนต้องทำตามอย่างเคร่งครัด
“ต้องยอมรับว่าสังคมขณะนี้ มีปัญหาการขับขี่ทั้งจากอุบัติเหตุ และการเมาและขับ ปัญหานี้ไม่ได้ลดลง ซึ่งสิ่งที่คนไทยทุกคนสามารถทำร่วมกันและอยู่ในสังคมด้วยกันได้ ต้องใช้กฎหมายเข้ามาควบคุม ดังนั้น ไม่อยากให้โทษว่าการเปิดสถานบันเทิงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ” นายวีรวิชญ์กล่าว
กระตุ้นเชียงใหม่กว่า2หมื่นล.
นายธนิต ชุมแสง นายกสมาคมร้านอาหารและสถานบันเทิงเชียงใหม่ กล่าวว่า เชื่อเป็นผลดีช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเชียงใหม่กลับมาคึกคักมากขึ้น มีสถานบริการกว่า 10,000 แห่ง เป็นสถานบันเทิง ที่เป็นร้านเหล้ากว่า 50-60% และจ้างงานกว่า 80,000 คน สร้างรายได้กว่า 20,000 ล้านบาท หรือ 7% ของผลิตภัณฑ์ มวลรวมจังหวัดกว่า 250,000 ล้านบาท พื้นที่นำร่องที่เหมาะสม คือ ย่านไนท์บาร์ซ่า ถนนช้างคลาน เชื่อมกับย่านลอยเคราะห์ ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติพักอาศัย เพื่อดึงดูดรายได้ให้สถานบริการ เพราะมีกำลังซื้อสูง ไม่ใช่นักเที่ยวท้องถิ่น ส่วนพื้นที่รอบนอก อาทิ อ.แม่ริม อ.แม่แตง ต้องดูความเหมาะสม และมีศักยภาพ เปิดบริการถึงตี 4 หรือไม่ เนื่องจากผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ ไม่ได้เดินทางไปไหน
พัทยาขอเริ่ม15ธ.ค.นี้
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดต่างเห็นตรงกันขยายเวลาสถานบริการให้เวลา 04.00 น. ให้ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยว หลังจากนี้ยังคงต้องรอมติในที่ประชุม แต่เบื้องต้นทางรัฐมนตรีมีต้องการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องมีข้อปฏิบัติระเบียบราชการและข้อกฎหมายเข้ามาควบคุม ทั้งนี้ สถานบันเทิงที่อยู่ในโซนนิ่งสามารถ ดำเนินการได้ทันที แต่นอกโซนนิ่งต้องมาพิจารณาภายใต้ข้อกฎหมายคงต้องรอทางมติที่ประชุมจากทุกหน่วยงานที่เข้าร่วมจะหาทางออกร่วมกันอย่างไร ส่วนในความหวังเมืองพัทยาที่รัฐมนตรีจะมีมติให้การเปิดสถานบริการในจังหวัดนำร่อง 4 จังหวัดทั้งกรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่ จนถึงเวลา 04.00 น. อยากให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคมนี้
หวังจันท์-ตราด-ระยองอยู่ในโซน
นายพิชานนท์ อิงประสาร หุ้นส่วนสถานบริการ “ฮิมเมล บาร์” ใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก (เกาะช้าง จ.ตราด จันทบุรี และระยอง) เปิดเผยว่า หากนำร่องทั้ง 4 จังหวัดเกิดประโยชน์สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจได้น่าจะขยายมายังจังหวัดอื่นๆ ได้ในไม่ช้านี้ อยากจะให้รัฐบาลเปิดยาวไปถึง 04.00 น.เพราะแน่นอนว่าจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ชลบุรี ที่มีพัทยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวนานาชาติ และมีสถานการบริการมากและเป็นจุดแข็งของพัทยา หรือที่ ป่าตอง จ.ภูเก็ต กลายเป็นจุดขายของทั้งสองจังหวัดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลต้องมองไปยังจังหวัดอื่นๆ ใกล้เคียงคือ จังหวัด ท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น ระยอง และตราด ที่มีแหล่งท่องเที่ยวซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางมามากสนใจชอบเข้าไปใช้บริการ นอกเหนือท่องเที่ยวทั้งทะเลและพื้นที่แล้ว สถานบริการก็เป็นเป้าหมายเช่นกัน และจะเป็นตัวสร้างรายได้ให้กับแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่นั้นๆ ด้วย
“จากประสบการณ์ที่ทำธุรกิจสถานบริการมาในหลายจังหวัด สิ่งที่ต้องระวังและคำนึงถึงคือการที่บางจังหวัดไม่มีสถานบริการที่มีใบอนุญาตถูกต้อง เช่น จ.ตราด หรือในเกาะช้างเอง อาจจะ เป็นปัญหาที่ไม่สามารถเปิดได้ ทางรัฐบาลต้องเอื้อให้กับผู้ประกอบการด้วย ทั้งนี้ จ.ตราด หรือในอำเภอเกาะช้างยังไม่มีโซนนิ่งที่แน่นอนและชัดเจน จึงควรที่จะคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งร้านอาหารที่มีดนตรีวันนี้ก็ต้องอนุญาตให้เปิดได้ถึง 04.00 น.ด้วยจะสอดรับกัน คนทำงานกลางคืนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ แล้วสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือมาตรการควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าไปใช้บริการสถานประกอบการเหล่านี้ ซึ่งต้อง เข้มงวด” นายพิชานนท์กล่าว
โคราชไม่เหมาะตี4ส่งเสริมอีเวนต์
นายพงษ์เทพ มาลาชาสิงห์ ประธานชมรม ส่งเสริมการท่องเที่ยว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา กล่าว เห็นด้วยอย่างยิ่ง เนื่องจากพื้นที่ 4 จังหวัดดังกล่าวมีกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาว ต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวผักผ่อนและใช้บริการสถานบันเทิง ตรงตามกลุ่มเป้าหมายของนโยบายนี้ แต่ในส่วนของจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่ได้มี นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากเหมือนกลุ่ม 4 จังหวัดดังกล่าว อาจจะไม่เหมาะที่จะให้เปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. อย่างเช่น จ.นครราชสีมา ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนในประเทศไทยพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวต่างชาติกับนักท่องเที่ยวไทยแตกต่างกันมาก อย่างเช่น ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และ จ.ชลบุรี นักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่จะเดินเที่ยวดื่มกินก็สามารถเดินกลับไปห้องพักได้ เพราะอยู่ใกล้ๆ กับสถานบันเทิง แต่ถ้าเป็นพื้นที่ จ.นครราชสีมา ที่นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นคนไทยถ้ามาจากต่างพื้นที่ก็จะต้องขับรถกลับหากไปดื่มกินขับรถกลับบ้าน หรือกลับที่พักอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ จึงไม่เหมาะที่จะเปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. อยากเสนอรัฐบาลให้กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวจังหวัดอื่นๆ โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ๆ เช่น จ.นครราชสีมา คือการส่งเสริมให้มีการจัดอีเวนต์การท่องเที่ยวใหญ่ๆ ขึ้นทุกเดือน ยกตัวอย่าง เช่น มหกรรมดนตรี, มหกรรมกีฬา และเทศกาลสำคัญๆ ประจำท้องถิ่น ซึ่งอีเวนต์เหล่านี้คนทุกกลุ่มสามารถ ท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยรัฐบาลจะต้องให้แต่ละจังหวัดวางแผนจัดงานอีเวนต์เหล่านี้ขึ้น แล้วอัดงบประมาณเข้ามาช่วยส่งเสริมให้กลายเป็นอีเวนต์ที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ เพื่อดึงดูด นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ก็จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงทุกจังหวัด
‘ธรรมนัส’ชงครม.พักหนี้เกษตรกร
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ สำรวจข้อมูลหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกร เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ โดยให้โครงการพักชำระหนี้ครอบคลุมเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศด้วยเหมือนกับลูกหนี้ ธ.ก.ส.อีกทั้งจะเสนอขอชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 4.5% ต่อปี เป็นเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2569 คาดใช้งบประมาณรวม 55,038 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินสินเชื่อ 44,437 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด 10,601 ล้านบาท ซึ่งนโยบายดังกล่าวได้นำเสนอไปยังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะเลขานุการคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรการในการพักหนี้เกษตรกรแล้ว
“นโยบายแก้หนี้สินภาคเกษตรควรดูแลครอบคลุมถึงเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของสหกรณ์ และเป็นหลักเกณฑ์เดียวกับเกษตรกรรายย่อยเป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส.ที่มีหนี้ไม่เกิน 300,000 บาท จะพักทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย คาดมีสมาชิกสหกรณ์ฯ ตรงตามเงื่อนไข 707,213 ราย มูลหนี้รวม 88,131.33 ล้านบาท” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
เสนอ2ทางรักษาข้าวเปลือก
ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมอบกรมการข้าวและกรมส่งเสริมสหกรณ์ จัดทำข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อ ครม.เพื่อพิจารณา 2 มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก สำหรับปีการผลิต 2566/67 ด้วยวงเงินจ่ายขาด 10,601 ล้านบาท โดยมี 2 มาตรการ 1.สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี มีเป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงิน 10,120.71 ล้านบาท ช่วยค่าฝาก 1,500 บาทต่อตัน แบ่งเป็นสหกรณ์รับ 1,000 บาทต่อตัน และเกษตรกรรับ 500 บาทต่อตัน ให้เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง 1-5 เดือน เริ่ม 1 ตุลาคม 2566 ถึง 29 กุมพาพันธ์ 2567 ในราคาข้าวหอมมะลิตันละ 12,000 บาท ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวหอมมะลิปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเจ้า ตันละ 9,000 บาท ข้าวเหนียว ตันละ 10,000 บาท หากราคาข้าวขึ้น รวมถึงเกษตรกรรายย่อยที่มียุ้งฉางด้วย จะเริ่มจ่ายเงินหลังจาก ครม. มีมติเห็นชอบ
ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า 2.สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม มีเป้าหมาย 1 ล้านตัน วงเงิน 481.25 ล้านบาท สหกรณ์จ่ายดอกเบี้ย 1% รัฐช่วยดอกเบี้ย 3.85% ระยะเวลา 15 เดือน เริ่ม 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2567 จะเริ่มจ่ายเงินหลัง ครม.เห็นชอบ ส่วนเงินช่วยเหลือชาวนาซึ่งเป็นค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพข้าวไร่ละ 1,000 บาทต่อไร่ จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2566
ที่มา: นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 5 พ.ย. 2566