โบ๊เบ๊ ย่านค้าขายสำคัญของกรุงเทพฯ บริเวณคลองผดุงกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ได้รับความนิยมจากอดีตมาถึงปัจจุบัน เป็นย่านขายสินค้าจำพวกเสื้อผ้า ถือเป็นตลาดขายส่งเสื้อผ้าแหล่งใหญ่ใน กทม. ได้รับความนิยมจากพ่อค้าแม่ค้า มีคนไปช็อปปิ้งคึกคักทุกวัน ตลาดเจริญเติบโตมากขึ้นขยายต่อไปยังบริเวณที่เรียกว่า โบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ใครที่ชอบช็อปตากแอร์จะมาที่นี่ ร้านรวงมากมายไม่แพ้กัน
ย่านโบ๊เบ๊ไม่ใช่ย่านการค้าขายแต่เพียงอย่างเดียว ยังเป็นย่านชุมชนที่อยู่อาศัยของคนหลากหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะคนจีน ย้อนไปในอดีตก็เคยมีโรงงานตั้งอยู่จำนวนมาก เช่น โรงซ่อมเรือ โรงเลื่อย โรงปูนกินหมาก โรงกระทะ โรงต้มถั่ว ฯลฯ จากประวัติศาสตร์คำว่า “โบ๊เบ๊” เรียกเพี้ยนมาจากคำว่า “บ๊งบ๊ง” เพราะช่วงที่ขายเสื้อผ้าเก่า ผู้คนที่มาค้าขายมักจะส่งเสียงดังหนวกหู จนคนแถบนี้เรียกว่า”ตลาดบ๊งบ๊ง”
เพื่อฟื้นฟูภูมิทัศน์ของย่านคลองผดุงกรุงเกษมที่มีคุณค่าและความสำคัญของกรุงเทพฯ ให้เกิดความสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยและยังคงรักษาเอกลักษณ์มรดกวัฒนธรรม กรุงเทพมหานครผนึกชุมชนจัดกิจกรรม “แต้มสีสันย่านโบ๊เบ๊” ณ ย่านโบ๊เบ๊ สะพาน 5 ริมคลองผดุงกรุงเกษม โดยมีภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนสีและอุปกรณ์ทาสีในการปรับปรุงภูมิทัศน์ เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ของกรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิด “Colorful ผดุงกรุงเกษม” มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาภูมิทัศน์ ทาสีปรับปรุงอาคารเก่าที่มีสภาพเสื่อมโทรมโดยรอบสองฝั่งคลองผดุงกรุงเกษมให้กลับมามีชีวิตชีวาด้วยสีสันอีกครั้ง โดยชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. และทีมผู้บริหาร กทม. ร่วมทาสีให้ตัวอาคารบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ ในพื้นที่
สำหรับตัวอาคารที่จะดำเนินการทาสีใหม่ แบ่งเป็น 5 โซน จำนวน 215 คูหา ตั้งอยู่บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ตั้งแต่ช่วงระหว่างแยกจตุรภักตร์รังสฤษดิ์ (สะพานขาว)-แยกกษัตริย์ศึก ในพื้นที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตปทุมวัน และเขตดุสิต ถือเป็นอาคารเก่าแก่มีรูปแบบและสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ในเขตเกาะรัตนโกสินทร์และพื้นที่ต่อเนื่อง
พื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ประกาศกฎกระทรวงฯ ที่ได้ถูกกำหนดสีอาคารและหลังคา จากปัจจัยนี้ ทาง กทม.เลือกใช้สีที่สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย นับเป็นการใช้สีสันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวให้ทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น โดยมีทีมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากรที่ทำงานร่วมกับ กทม. ในการออกแบบโทนสีที่เหมาะสมกับย่านโบ๊เบ๊ ซึ่งใช้โทนสีในไทยโทน อาทิ สีเหลืองดิน, สีลิ้นจี่, สีเขียวไข่กา, สีม่วงดอกตะแบก เป็นต้น
ส่วนอาคารบ้านเรือนฝั่งเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายจะทาโทนสีเหลืองนวลทั้งหมด ขณะที่อาคารฝั่งเขตดุสิต และเขตปทุมวัน จะทาสีใหม่ด้วยหลากสีไทยโทนในกลุ่มโทนสีตุ่น และกลุ่มโทนสีสดใส นอกจากนี้ก่อนทาสีได้มีการมาสอบถามความคิดเห็นโทนสีของที่อยู่ที่อาศัยในชุมชน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่ เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่มีการทาสีปรับปรุงภูมิทัศน์อาคารเก่าในย่านนี้ ซึ่งมีสภาพอาคารเก่า ผนังอาคารหลุดล่อนไม่น่ามอง
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กล่าวว่า ย่านโบ๊เบ๊เป็นพื้นที่เก่าแก่และมีคลองสำคัญของกรุงเทพฯ คือ คลองผดุงกรุงเกษม เริ่มตั้งแต่หัวลำโพงมาถึงตลาดน้ำเทเวศร์ ความยาว 4 กิโลเมตร และย่านโบ๊เบ๊เป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญ ปัจจุบันบริเวณนี้มีการจัดระเบียบให้เรียบร้อยขึ้น แต่ยังมีผู้ค้าเสื้อผ้าอยู่ จะเห็นว่าอาคารหรือตึกแถวบริเวณนี้เป็นอาคารเก่าที่ทรุดโทรม จึงมีแนวคิดปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงามด้วยการทาสีอาคารใหม่ แต่ไม่สามารถใช้งบประมาณของราชการมาทาสีอาคารเอกชนได้ จึงขอความร่วมมือจากภาคเอกชนดำเนินการ สนับสนุนโดยบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด, บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน คาดว่าจะทาสีทั้ง 215 คูหา แล้วเสร็จวันที่ 22 พ.ย.นี้
“การปรับปรุงภูมิทัศน์ครั้งนี้ ยืนยันว่าจะไม่ทิ้งเสน่ห์และจิตวิญญาณเดิมของตลาดโบ๊เบ๊ ที่เป็นแหล่งค้าขายเสื้อผ้าที่เก่าแก่มีชื่อเสียง ซึ่งการปรับปรุงภูมิทัศน์อาคารจะช่วยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจในย่านการค้า ประกอบกับในช่วงปลายปีนี้ กทม.จะจัดงาน Colorful Bangkok ในพื้นที่คลองผดุงกรุงเกษม เพื่อประชาสัมพันธ์และเชิญชวนประชาชนให้เที่ยวในพื้นที่สาธารณะริมคลองแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ หวังที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ชุมชน” พ่อเมืองกรุงเทพฯ เน้นย้ำ
นอกจากเริ่มปรับภูมิทัศน์แต้มสีให้โบ๊เบ๊แล้ว อนาคตเตรียมจะขยายการดำเนินการไปยังพื้นที่บริเวณคลองบางลำพู, คลองโอ่งอ่าง, คลองคูเมืองเดิม และคลองหลอด หนุนให้เมืองน่าอยู่บนแนวทางไม่ละเลยอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่.
บรรยายใต้ภาพ
รักษาเสน่ห์ชุมชนเก่าและต้นไม้ร่มรื่นในย่าน
ทาสีสดใสให้อาคารบ้านเรือนย่านโบ๊เบ๊
ตลาดโบ๊เบ๊ ย่านการค้าสำคัญของกรุงเทพฯ
ปรับปรุงทางเท้า เพิ่มสีสันด้วยงานศิลปะ
พัฒนาภูมิทัศน์ย่านคลองผดุงกรุงเกษมให้สวยงาม
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 5 พ.ย. 2566