กทม. แจงป้ายโฆษณาขนาดใหญ่แยกใต้ทางด่วนดินแดงไม่ได้อยู่ในความดูแล

นายไทภัทร ธนสมบัติกุล ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กทม. กล่าวกรณีมีข้อสังเกตป้ายโฆษณาขนาดใหญ่บริเวณทางแยกใต้ทางด่วนดินแดงมีการขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ว่า จากการตรวจสอบป้ายโฆษณาดังกล่าวไม่ใช่ป้ายโฆษณาที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สจส. ซึ่งการบริหารจัดการป้ายโฆษณาในกำกับดูแลของ กทม. นั้น สจส. ได้ทำสัญญาให้สิทธิเอกชนใช้ป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดย กทม. จะได้รับประโยชน์จากค่าใช้สิทธิเป็นรายเดือนและรายปี ซึ่งผู้รับสิทธิต้องชำระให้กับ กทม. พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของ กทม. ตลอดระยะเวลาให้สิทธิ ส่วนค่าไฟฟ้า หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกิดจากการติดตั้งป้ายโฆษณานั้น ผู้รับสิทธิเป็นผู้รับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมด

กทม. พิจารณาติดตั้งกล้อง CCTV จุดที่ตรวจสอบพบการลักลอบทิ้งขยะลงคลอง
 
นายสุราษฎร์ เจริญชัยสกุล ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ (สนน.) กทม. กล่าวกรณีมีข้อเสนอแนะให้ กทม. ติดกล้องวงจรปิด (CCTV) บริเวณริมคลองต่าง ๆ เพื่อป้องปรามการทิ้งขยะลงคูคลองว่า สนน. มีแนวทางการติดตั้งกล้อง CCTV บริเวณริมคลองต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อป้องปรามการทิ้งขยะลงคูคลองสาธารณะ โดยจะประสานสำนักการจราจรและขนส่ง กทม. พิจารณาติดตั้งกล้อง CCTV ในจุดที่ตรวจสอบพบการลักลอบทิ้งขยะลงคลอง ขณะเดียวกันได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการจัดเก็บขยะในคลองอย่างสม่ำเสมอ โดยจัดหน่วยเคลื่อนที่ พร้อมเจ้าหน้าที่เก็บขยะทางน้ำในคลองต่าง ๆ เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกจะจัดเก็บขยะบริเวณหน้าสถานีสูบน้ำและปากอุโมงค์ระบายน้ำ เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีขยะในคลองลอยไปติดหน้าตะแกรงปากทางอุโมงค์ส่งน้ำจำนวนมาก ส่งผลให้การเร่งระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ช้าลง 

นอกจากนั้น ได้ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากชุมชนริมคลองไม่ให้ทิ้งขยะ วัสดุ สิ่งของลงในคลอง และที่ผ่านมา สนน. ได้สุ่มตรวจสอบพบการทิ้งขยะลงคลองสวนหลวง เขตปทุมวัน จึงได้ถ่ายคลิปส่งให้สำนักงานเขตปทุมวัน ซึ่งต่อมาสำนักงานเขตฯ ได้ปรับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 

กทม. เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์โรคไข้โอโรพุช ป้องกันการระบาดในกรุงเทพฯ

นายสุนทร สุนทรชาติ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กทม. กล่าวถึงมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการระบาดของโรคไข้โอโรพุชในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า สนอ. ได้ประสานสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) เพื่อเตรียมความพร้อมแนวทางและมาตรการเฝ้าระวังป้องกันการระบาดของโรคดังกล่าวในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยกรมควบคุมโรคได้แจ้งกองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค และสถานพยาบาลในสังกัดให้ทราบสถานการณ์เบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม จากการประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น เป็นความเสี่ยงระดับปานกลาง เนื่องจากโรคดังกล่าวเกิดขึ้นที่ประเทศบราซิล โอกาสที่จะมีการติดต่อ หรือการแพร่กระจายของโรคมายังประเทศไทย จึงเกิดขึ้นได้น้อย อีกทั้ง ยังไม่มีการแพร่ได้จากคนสู่คน ต้องอาศัยแมลงเป็นพาหะ หากเชื้อดังกล่าวเข้าสู่ประเทศไทยได้แล้วจะมีโอกาสแพร่ระบาดและมีโอกาสแพร่กระจายในวงกว้างได้เนื่องจากมียุงรำคาญเป็นพาหะรอง โดยจะติดตามและประเมินความเสี่ยงของสถานการณ์โรค รวมทั้งเตรียมพร้อมสถานพยาบาลในการเฝ้าระวังและรายงานโรค หากพบผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังให้แจ้งสำนักงานโรคติดต่อทางสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์ 02 203 2891 หรือ E-mail [email protected] ทันที

ส่วนประชาชนที่เดินทางไปในประเทศที่มีรายงานการระบาดของโรคนี้ โดยเฉพาะประเทศในทวีปอเมริกาใต้ อเมริกากลาง และแคริบเบียน ขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยการป้องกันตนเองระหว่างที่เดินทางไปในประเทศดังกล่าว ควรสวมเสื้อและกางเกงขายาว เพื่อป้องกันยุงและตัวริ้นกัด ทาโลชั่นกันยุง และหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่ที่มียุง หรือแมลงชุกชุม หากเดินทางกลับมายังประเทศไทยแล้วมีอาการไข้เฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดกระบอกตา และผื่น ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรคและรีบไปพบแพทย์ โดยแจ้งประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเฝ้าระวังโรคต่อไป

เขตประเวศตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยกรณีครูยักยอกเงินฝากนักเรียน 
 
นายดิชา คงศรี ผู้อำนวยการเขตประเวศ กทม. กล่าวกรณีมีข้อร้องเรียนครูโรงเรียนสุวิทย์เสรีอนุสรณ์ (ฝ่ายประถม) ยักยอกเงินโรงเรียนและเงินฝากนักเรียนว่า สำนักงานเขตฯ ได้เร่งติดตามและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความเข้าใจและเห็นใจผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว โดยเมื่อทราบเหตุได้เร่งตรวจสอบ รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ทราบว่า มีพฤติการณ์เป็นไปตามที่มีการกล่าวหาหรือไม่ และบุคคลใดต้องรับผิดบ้าง ทั้งนี้ จะต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ สุจริตและเที่ยงธรรม โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายละเอียด รวมทั้งพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นพบว่า โครงการออมเงินดังกล่าวเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างโรงเรียนฯ กับธนาคารออมสิน ซึ่งทั้งสองฝ่ายกระทำต่อกันโดยตรง เพื่อส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้เรื่องการออมเงิน โดยการดำเนินกิจการของธนาคารโรงเรียนฯ พบว่า ธนาคารออมสินได้มอบเงินให้แก่ธนาคารโรงเรียนจริง แต่เป็นการมอบให้เพื่อใช้ในกิจการบริหารจัดการของธนาคารฯ เช่น วัสดุ อุปกรณ์ หรืออื่น ๆ ที่จำเป็น เป็นต้น
       
ส่วนกรณีการยักยอกเงินฝากของนักเรียน ยังเป็นประเด็นโต้แย้ง เนื่องจากยอดเงินยังไม่ตรงกัน และยังไม่ได้ข้อยุติ จะต้องนำสืบ หรือรวบรวมพยานหลักฐานอื่น ๆ รวมทั้งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบจนกว่าจะรับฟังได้เป็นที่ยุติว่า ได้กระทำผิดตามที่มีการกล่าวหาหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ปราศจากอคติและความเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงฯ ได้ชี้มูลและเสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 67 ได้ปิดบัญชีเงินฝากธนาคารโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว และนักเรียนที่อยู่ระหว่างการศึกษาตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ได้ปิดบัญชีและคืนเงินเรียบร้อยแล้ว ส่วนนักเรียนที่จบการศึกษาไปแล้ว โรงเรียนฯ ได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองและนักเรียนมาขอรับเงินคืน โดยสำนักงานเขตฯ ได้สั่งการให้โรงเรียนฯ ไม่ให้ครูที่ถูกกล่าวหารับผิดชอบกับธนาคารโรงเรียนและการดำเนินการที่เกี่ยวกับการเงิน รวมทั้งสำนักงานเขตฯ ได้มีหนังสือแจ้งความคืบหน้าผู้ร้องเรียนทราบด้วยแล้ว สำหรับกรณีที่ผู้ปกครองได้แจ้งความดำเนินคดี ผู้แจ้งความร้องทุกข์สามารถติดตาม หรือตรวจสอบผลทางคดีต่อพนักงานสอบสวนได้โดยตรง
     
นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครยังได้สั่งการให้ยุติโครงการธนาคารโรงเรียนที่ให้ครูดำเนินการรับฝากเงินและรวบรวมส่งธนาคารเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 67 หากไม่มีการควบคุมตรวจสอบที่โปร่งใส รัดกุม อาจทำให้เกิดการทุจริต หรือกระทำผิดกฎหมาย ส่งผลให้ กทม. เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งนี้ สำนักงานเขตฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 67 โดยให้สอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่ประธานรับทราบคำสั่ง เบื้องต้นได้รับรายงานขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 30 วัน เนื่องจากฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาได้อ้างพยานเอกสารและพยานหลักฐานเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม สำนักงานเขตฯ ได้กำชับคณะกรรมการสอบสวนฯ เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและต้องเป็นไปตามขั้นตอน กระบวนการที่กฎหมายกำหนด ปราศจากการแทรกแซง ดำเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากที่สุด