เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 8/2567 เปิดเผยถึงแนวทางการชำระหนี้ให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอสซี) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด

นายชัชชาติกล่าวว่า ยอมรับคำสั่งศาล จะเร่งประชุมใหญ่เพื่อหาข้อสรุประหว่าง กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) จะวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลโดยละเอียด ต้องศึกษาให้รอบคอบตามที่ศาลมีคำวินิจฉัยออกมาและหาแนวทางในการปฏิบัติ ในส่วนความผิดคือการหยุดชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ในช่วงปี 2562 เพราะมีคำสั่ง คสช.ที่ 3/2562 เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติต่อสัญญาสัมปทานไปจนถึงปี 2603 รวมค่าใช้จ่ายและหนี้สินต่างๆ ไว้ในสัญญาสัมปทาน แต่ ครม.ยังไม่มีการออกมติมา ทำให้บีทีเอสฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ให้ กทม.ชำระเงินค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 1 และ 2 ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองระบุว่า กทม.ไม่ต้องรอมติ ครม. ให้จ่ายเงินตามภาระที่เกิดขึ้น รวมถึงระบุดอกเบี้ยมาด้วย ทำให้ กทม.มีภาระและความกดดันเพิ่มมากขึ้น จ่ายการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 1 จำนวน 2,000 ล้านบาท ส่วนต่อขยาย 2 จำนวน 6,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท แต่ค่าโดยสารที่เก็บได้ เป็นจำนวน 2,000 ล้านบาท ต้องใช้เงินงบประมาณมาจ่ายส่วนต่างในการเดินรถอีก 6,000 ล้านบาท

นายชัชชาติกล่าวว่า สำหรับงบประมาณที่ กทม.ได้รับปีละ 90,000 ล้านบาท เมื่อหักไปจ่ายหนี้ 6,000 ล้านบาท รวมทั้งมูลหนี้ที่เหลือรวมแล้วเกือบ 40,000 ล้านบาท จะเป็นภาระของคนกรุงเทพฯทุกคน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 140 วัน และจะพยายามให้เสร็จสิ้นภายใน 180 วัน ตามคำสั่งศาล โดยจะหาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาวว่าจะมีวิธีใดที่จะช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ได้ การต่อสัญญาสัมปทานที่จะหมดในปี 2572 จะดำเนินการอย่างไรต่อไป เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ละเอียด

ที่มา:  นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 2 ส.ค. 2567