ทางออก ‘กทม.’ จ่ายหนี้ ‘สายสีเขียว’ ‘จ่ายจบ’หรือ’เจรจา’สัมปทาน

วรรณิกา จิตตินรากร

กรุงเทพธุรกิจ

“ข้อพิพาทค่าจ้างงานเดินรถไฟฟ้าและ ซ่อมบำรุง (O&M)”โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน- วงเวียนใหญ่-บางหว้า และช่วงอ่อนนุชแบริ่ง และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่งสมุทรปราการ ขณะนี้ถือเป็นที่สิ้นสุด หลังเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2567 ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.2226/2565 ระหว่างบริษัท ระบบขนส่งมวลชน กรุงเทพ จำกัด (มหาชน)(ผู้ฟ้องคดี) กับกรุงเทพมหานครกับพวกรวม 2 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) โดยศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น

ส่งผลให้กรุงเทพมหานคร และ กรุงเทพธนาคม ต้องร่วมกันชำระเงิน สำหรับ หนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 โดยตามอัตราดอกเบี้ยสำหรับ ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศ โดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาท บวก 1% ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี

ทั้งนี้ จากคำพิพากษาดังกล่าว กรุงเทพมหานคร และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ต้องร่วมชำระเงินสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว แบ่งเป็น

– ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,348 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,199 ล้านบาท

– ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 8,786 ล้านบาท

ด้านแหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานคร ระบุว่า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีแนวคิดดูผลของสัญญาที่ดำเนินการไปแล้วในปัจจุบัน ควบคู่กับการดำเนินการตามสัญญาที่จะครบในปี 2580 ว่าจะ ดำเนินการอย่างไร เนื่องจากรูปแบบของทั้ง สองสัญญานั้นแตกต่างกัน จึงต้องดูผู้ที่ต้อง ชำระหนี้ เนื่องจากปัจจุบันรูปแบบสัญญา แบ่งเป็น

– งานสัญญาจ้าง O&M ส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่-บางหว้า และช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง กรุงเทพมหานครจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ดำเนินการเดินรถไฟฟ้า หลังจากนั้น บริษัท กรุงเทพ ธนาคม จำกัด จ้าง BTSC เป็นผู้เดินรถไฟฟ้า

– งานสัญญาจ้าง O&M ส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ต่างจากส่วนต่อขยาย ที่ 1 เพราะกรุงเทพมหานคร เป็นผู้มอบหมายให้ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ดำเนินการ หลังจากนั้นบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด จ้าง BTSC เป็นผู้เดินรถไฟฟ้า

อย่างไรก็ดี กรุงเทพมหานครยังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการชำระหนี้ O&M ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับการชำระหนี้ค่าติดตั้งระบบรถไฟฟ้า (E&M) ส่วนต่อขยาย ซึ่งได้ชำระไปแล้วในจำนวน 23,000 ล้านบาท เมื่อเดือน เม.ย.2567 ซึ่งขออนุมัติใช้เงินสะสมปลอดภาระจาก สภากรุงเทพมหานคร โดยสิ้นงบปีงบประมาณ 2566 (30 ก.ย.2566) กรุงเทพมหานคร มีวงเงินส่วนนี้รวม 63,000 ล้านบาท

ทั้งนี้หากพิจารณาจากแนวทางชำระหนี้ ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ที่มีความเป็นไปได้ จะแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ

แนวทางที่ 1 กรุงเทพมหานคร เงินสะสม ปลอดภาระจากสภากรุงเทพมหานคร มาดำเนินการชำระ เป็นไปในลักษณะเดียวกันกับการขออนุมัติใช้งบเพื่อจ่ายหนี้ค่าติดตั้งระบบรถไฟฟ้า (E&M)

แนวทางที่ 2 เจรจากับ BTS เพื่อพิจารณา ขยายอายุสัมปทานชดเชยกับจำนวนหนี้

โดยในช่วงปี 2564 กรุงเทพมหานคร และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวยังเคยมีการหารือเพื่อพิจารณาทางเลือกในการ แก้ปัญหาการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยมีการพิจารณา 3 แนวทาง คือ

1.กรุงเทพมหานคร ประมูลหา ผู้รับสัมปทานใหม่เพื่อบริหารสัญญารถไฟฟ้า สายสีเขียว ในส่วนของสายหลัก ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ซึ่งเริ่มต้นเดินรถตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. 2542 สัญญากำลังจะสิ้นสุด ระยะเวลา 30 ปี ในวันที่ 4 ธ.ค. 2572 ซึ่งมีข้อดีที่กรุงเทพมหานครสามารถกำหนด ค่าโดยสารถูก ลงได้ แต่แนวทางนี้กรุงเทพมหานครจะต้องมีกระแสเงินสดเพียงพอเพื่อดำเนินการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ปีละ 1,300 ล้านบาท รวมถึงค่าชดเชยขาดทุน ในการให้บริการส่วนต่อขยายปีละ 1,500 ล้านบาท และค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล 20,000 ล้านบาท และค่าชดเชยกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) 20,000 ล้านบาท

2.กรุงเทพมหานครจ้าง BTS เดินรถทั้งเส้นทางถึงปี 2585 ซึ่งมีข้อดีที่ค่าโดยสารเป็นของกรุงเทพมหานครและทำให้ตั้ง ค่าโดยสารถูกลงได้ และไม่มีข้อพิพาทกับ BTS แต่กรุงเทพมหานครจะต้องมีกระแสเงินสดเพียงพอสำหรับค่าดอกเบี้ยเงินกู้ปีละ 1,300 ล้านบาท และค่าชดเชยการขาดทุน ปีละ 1,500 ล้านบาท

3.กรุงเทพมหานคร ขยายสัมปทาน ให้ BTS ไปอีก 30 ปี (2572-2602) ซึ่งการพิจารณาประเด็นมาจากการที่กรุงเทพมหานครมีข้อจำกัดกระแสเงินสด และไม่ได้การ ช่วยเหลือจากรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถเลือกทางออกที่ 1-2 ได้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

โดยมีเงื่อนไขในการขยายสัมปทาน ที่เจรจาต่อรองกับ BTS ต้องแบ่งค่าโดยสารให้กรุงเทพมหานครตลอดสัญญาสัมปทานที่ต่ออายุรวม 200,000 ล้านบาท และแบ่งรายได้เพิ่มให้กรุงเทพมหานคร หาก BTS ได้ผลตอบแทนเกิน 9.6%

นอกจากนี้ BTS ต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้แทนกรุงเทพมหานครในปี 2562-2572 รวม 1,300 ล้านบาท และรับภาระชดเชยการขาดทุนปีละ 1,500 ล้านบาท และมีเงื่อนไขด้านค่าโดยสาร 15-65 บาท ลดลงจากเดิมที่มีค่าโดยสารเดิมสูงสุด 158 บาท

 



ที่มา:  นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 30 ก.ค. 2567

แชร์ข่าว:
กรุงเทพฯ มีอะไร อัพเดทข่าวสารฉับไว กิจกรรมที่น่าสนใจ และมีส่วนร่วมได้ รวมไว้ให้ที่นี่

©2022 สงวนลิขสิทธิ์ กรุงเทพมหานคร

สำนักงานประชาสัมพันธ์ สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร 173 ถนนดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กทม. 10200