รายงาน: จับตาย้าย ‘ท่าเรือคลองเตย’ ออกจากกทม. เรื่องที่มองว่าง่าย แต่ทำจริงแสนยากว่าที่คิด!

จากการที่ “กรุงเทพมหานคร” เป็นเมืองที่มีมลพิษติดอันดับ 10 ของโลก จากปัญหาฝุ่นละออง ที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้าง และการจราจรที่แออัดในเมือง ซึ่งทำให้ “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการศึกษาความเหมาะสม และเป็นไปได้ของการย้าย “ท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย)” ออกจากพื้นที่กรุงเทพมหานครให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อีกทั้งให้พิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) เพื่อใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่

ทั้งนี้การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา “นายเศรษฐา” ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อให้การพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ที่กำหนดให้พิจารณาการย้ายท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ออกจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร และได้มีการมอบหมาย ให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ของการย้ายท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ออกจากพื้นที่กรุงเทพมหานครให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

โดยให้พิจารณาให้ครบวงจร ครอบคลุมถึงการย้ายคลัง และโรงเก็บน้ำมันที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย แล้วให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป และให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่เรือกรุงเทพ (คลองเตย) ในส่วนที่ปัจจุบันยังเป็นพื้นที่ว่าง หรือเป็นพื้นที่ที่สามารถนำมาปรับปรุงพัฒนาใหม่เพื่อใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ เช่น ปัญหาชุมชนแออัด ปัญหาการจราจร ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง

“ข้อเสนอในการให้ย้ายท่าเรือคลองเตยนั้น ได้มีข้อเสนอในการคำนึงถึงเรื่องการขนส่งที่เป็นฐานการส่งออก ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ต้องพิจารณาให้ครบองค์ประกอบ ทั้งการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังเฟส 2 และเฟส 3 หากโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์ ต้องทำต่อเนื่องกันไป ต้องไม่ให้กระทบกับการส่ออก”

ขณะที่ “นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข” ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) กล่าวว่ารายละเอียดของหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหารายละเอียด คือ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ออกหนังสือเวียน ถึง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ในการย้ายท่าเรือออกจากคลองเตย ด้วยในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 นายกรัฐมนตรี เสนอว่า

หนังสือเวียนของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่มีไปยัง รมว.คมนาคม กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ถึงข้อสังการของนายกรัฐมนตรีต่อแนวทางการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) โดยระบุว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 นายกรัฐมนตรี ได้เสนอต่อที่ประชุม ครม.ว่า เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งประชาชนชาวกรุงเทพฯในภาพรวม ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ที่กำหนดให้พิจารณาการย้ายท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ออกจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร จึงขอให้มีการมอบหมายดังนี้

1. ให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับการทำเรือแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ของการย้ายท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ออกจากพื้นที่กรุงเทพมหานครให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้พิจารณาให้ครบวงจร ครอบคลุมถึงการย้ายคลัง และโรงเก็บน้ำมันที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย แล้วให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป

2. ให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) ในส่วนที่ปัจจุบันยังเป็นพื้นที่ว่าง หรือเป็นพื้นที่ที่สามารถนำมาปรับปรุงพัฒนาใหม่เพื่อใช้ประโยชน์ให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ปัญหาชุมชนแออัด ปัญหาการจราจร ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ทั้งนี้ ให้จัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้ชัดเจน เหมาะสม และแล้วเสร็จโดยเร็ว โดยควรใช้พื้นที่นี้เพื่อประโยชน์สาธารณะของชาวกรุงเทพฯเป็นสำคัญ แล้วให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จึงได้มีหนังสือเวียนมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันดำเนินการตามมติ ครม.ข้างต้นต่อไป ทั้งนี้ ให้จัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้ชัดเจน เหมาะสม และแล้วเสร็จโดยเร็ว โดยควรใช้พื้นที่นี้เพื่อประโยชน์สาธารณะของชาวกรุงเทพฯ เป็นสำคัญ แล้วให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ “นางมนพร เจริญศรี” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกำกับดูแลการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรณีที่นาย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง มีข้อสั่งการ เรื่องการย้ายท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) เบื้องต้นกระทรวงคมนาคม ได้รับข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้รับหนังสือสั่งการอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้หากได้รับหนังสือสั่งการเป็นทางการแล้ว กระทรวงคมนาคมจะเร่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ และทำแผนปฏิบัติการ กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินงาน ซึ่งเป้าหมายรัฐบาลต้องการลดความแออัด ลดปริมาณรถบรรทุก ที่มีปัญหาด้านมลพิษทางอากาศและใช้ประโยชน์ที่ดิน ประมาณ 2,353 ไร่ที่อยู่ติดริมแม่น้ำ ซึ่งมีเรือท่องเที่ยวเรือสำราญเข้ามา เพื่อพัฒนาให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุด

เรื่องนี้มีหลายประเด็นที่ต้องพิจารณาและ มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของกระทรวงคมนาคมเอง ได้แก่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กรมเจ้าท่า (จท.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ส่วนกระทรวงมหาดไทย มี กรมที่ดิน กรุงเทพมหานคร (กทม.) กระทรวงการคลัง มีกรมธนารักษ์ กรมศุลการกร

รมช.คมนาคมกล่าวว่า ในส่วนของการท่าเรือฯ นั้นมีการศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งตามแผนจะมีการพัฒนาภายใน 5 ปี แต่ขณะนี้ยังไม่เริ่ม ดังนั้นจะใช้แผนแม่บทดังกล่าว เป็นต้นแบบในการพิจารณาตามข้อสั่งการของนายกฯ หลักการ จะคงบริการท่าเรือไว้บางส่วน เช่น ท่าเรือท่องเที่ยว ที่เข้ามาเทียบท่าเป็นลักษณะ Home Port ที่นักท่องเที่ยวเข้ามาแวะเที่ยวกรุงเทพฯ 15-20 วัน โดยนอนบนเรือ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องพัฒนาให้มี สิ่งอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเข้ามา ส่วนการขนส่งสินค้านั้น จะมีทั้งท่าเรือชายฝั่งรองรับสินค้าภายในประเทศด้วย ที่การขนส่งทางน้ำ มีต้นทุนต่ำและช่วยค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งคณะทำงานฯจะพิจารณารายละเอียด ในทุกประเด็นเพราะจะมีท่าเทียบเรือสัมปทาน มีเรื่องสัญญาเช่ากับบริษัทเอกชน หรือหน่วย งานอื่นๆ

สำหรับชุมชนและประชาชนในพื้นที่ ตามแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพนั้น มีการจัดพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยในแนวสูง รวมถึงมีข้อเสนอและการเยียวยากรณีประชาชนต้องการย้ายออกจากพื้นที่ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ซึ่งจะมีการพัฒนาเป็นเฟสๆ

“คณะทำงานฯจะศึกษาความเป็นไปได้ รายละเอียดและทำแผนปฏิบัติการในการย้ายท่าเรือ กรอบระยะเวลา การเยียวยาหรือสิทธิประโยชน์กับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้เช่าพื้นที่ต่างๆ หากมีการย้ายออกจะไปอยู่ตรงไหน และได้รับสัญญา หรือสิทธิประโยชน์ตามเดิมหรืออย่างไร หรือในอนาคตหากท่าเรือแหลมฉบังพัฒนาเต็มศักยภาพการขนส่งและบริหารจัดการและค่าเช่าพื้นที่อาจจะต่ำกว่า ท่าเรือกรุงเทพ ผู้ประกอบการอาจจะอยากย้ายไปก็ได้ เป็นต้น”

นางมนพร กล่าวถึงกรณีที่ กทท.เตรียมเปิดประกวดราคาพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์จำนวน 2 แปลง ได้แก่ 1. ที่ดินพื้นที่ 17 ไร่ ติดอาคารสำนักงานของ กทท.(นอกรั้วศุลกากร) 2. ที่ดินพื้นที่ 15 ไร่ ข้างอาคารสำนักงานของ กทท. (นอกรั้วศุลกากร) บริเวณโกดังสเตเดียม เพื่อให้เอกชนเข้ามาพัฒนา รวมถึงโครงการพัฒนาพื้นที่ เพื่อการอยู่อาศัยในชุมชนคลองเตย (Smart Community) ก็คงต้องให้หยุดก่อนเพื่อรอดูคณะทำงานฯศึกษาทบทวนภาพรวมให้ครบถ้วนก่อน เพราะทุกพื้นที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาในภาพรวม ซึ่งภาวะปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงและให้รอแผนใหญ่ชัดเจนก่อน

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผอ.กทท. กล่าวว่า ตามผลการศึกษา พัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ มีการวางผังเพื่อบริหารจัดการพื้นที่และทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยพื้นที่ในเขตรั้วศุลกากรใช้ในกิจการท่าเรือกว่า 900 ไร่ ได้วางแผนใช้งานกิจการท่าเรือส่วนหนึ่งและอีกส่วนจะพิจารณาเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น ท่าเทียบเรือสำราญ (เรือครูซ) หรือเป็นอาคารพาณิชย์ หรือมิกซ์ยูส เชื่อมโยงโลจิสติกส์ ศูนย์ขนส่งและท่องเที่ยว หรือเป็นฟรีโซน ดิวตี้ฟรี เป็นต้น ซึ่งจะทำให้กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลาง

“กทท.จะนำแผนแม่บทฯ เร่งหารือกับคณะทำงานฯเพื่อพิจารณาว่า จะต้องมีการปรับปรุงส่วนไหน แล้วมีส่วนไหนที่ยังคงทำตามเดิม หลักการจะไม่กระทบต่อชุมชนและสัญญาผู้เช่าและคู่ค้าต่างๆ”

รายงานข่าวแจ้งว่า ท่าเรือกรุงเทพ มีเนื้อที่ประมาณ 2,353.2 ไร่ แบ่งการใช้พื้นที่เป็น 7 ส่วน ดังนี้ 1. พื้นที่ในเขตรั้วศุลกากรใช้ในกิจการ ทกท. 943.2 ไร่ 2. พื้นที่นอกเขตรั้วศุลกากรใช้ในกิจการ กทท. 149.2 ไร่ 3. พื้นที่หน่วยงานของรัฐขอใช้ 150.2 ไร่ 4. พื้นที่หน่วยงานของรัฐเช่าใช้ประโยชน์ 152.2 ไร่ 5. พื้นที่เอกชนเช่า 521.16 ไร่ 6. พื้นที่ชุมชนแออัด 232.1 ไร่ 7.พื้นที่ทางสัญจร (ถนน, ทางรถไฟ, คลอง) 203.1 ไร่.

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เรื่องฝุ่นเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ต้องวิเคราะห์ให้ได้อย่างแท้จริงเพื่อจะสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ที่ผ่านมาเราดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างเข้มข้น เช่น การตรวจไซต์งานก่อสร้าง แต่เรื่องรถยนต์หากเราห้ามรถยนต์วิ่งในกรุงเทพฯ จะช่วยเรื่องฝุ่น PM 2.5 หรือไม่นั้น ตรงนี้ต้องมีการคิดอย่างรอบคอบ เพราะที่ผ่านมาในโซนเขตมีนบุรี หนองจอก ฝุ่น PM 2.5 สูงมาก แต่เป็นเขตที่มีปริมาณรถยนต์น้อย แสดงว่าฝุ่นอาจจะมาจากนอกพื้นที่กรุงเทพฯ ดังนั้นการออกมาตรการต่างๆ ต้องมีการคิดอย่างละเอียดรอบคอบเพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนจำนวนมาก ทั้งนี้ กทม. ได้มีการหารือกับกรมการขนส่งทางบกวางแผนระยะยาวในการลดจำนวนรถยนต์เก่าลง แต่คงต้องออกเป็นรูปแบบกฎหมายและค่อยๆ พัฒนาอย่างรอบคอบ

“เรื่องท่าเรือคลองเตยอยู่ในแผนวาระฝุ่นแห่งชาติอยู่แล้วตั้งปี 2562 เป็นเรื่องที่ต้องมาทบทวนกันว่าเวิร์กหรือไม่เวิร์ก อย่างไร แต่เห็นตัวอย่างจากทั่วโลก เช่น ลอนดอน ท่าเรือที่อยู่ในเมืองเขาย้ายออกข้างนอกหมด ซึ่งจะมีผลในการควบคุมน้ำทะเลที่หนุนสูงด้วย หากท่าเรือยังมีเรือใหญ่เข้า-ออกแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ตลอดเราจะควบคุมได้อย่างไร ก็คงมีหลายปัจจัย ซึ่งท่านนายกฯ ก็คงให้ศึกษารายละเอียดให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่ง”

จับตาดูว่าการย้าย “ท่าเรือคลองเตย” ครั้งนี้ จะเป็นอย่างไร

สามารถทำได้อย่างสะดวกโยธินหรืออุปสรรคที่เตรียมจะถาถมเข้ามาเป็นพายุ

เรื่องนี้เชื่อว่าไม่น่าจะจบลงได้ง่ายๆ

“ข้อเสนอในการให้ย้ายท่าเรือคลองเตยนั้น ได้มีข้อเสนอในการคานึงถึงเรื่องการขนส่งที่เป็นฐานการส่งออก ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ต้องพิจารณาให้ครบองค์ประกอบ ทั้งการพัฒนา ท่าเรือน้าลึกแหลมฉบังเฟส 2 และเฟส 3 หากโครงการนี้ เสร็จสมบูรณ์ ต้องทาต่อเนื่องกันไป ต้องไม่ให้กระทบกับการส่ออก”

 



ที่มา:  นสพ.สยามรัฐ ฉบับวันที่ 17 เม.ย. 2567

แชร์ข่าว:
กรุงเทพฯ มีอะไร อัพเดทข่าวสารฉับไว กิจกรรมที่น่าสนใจ และมีส่วนร่วมได้ รวมไว้ให้ที่นี่

©2022 สงวนลิขสิทธิ์ กรุงเทพมหานคร

สำนักงานประชาสัมพันธ์ สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร 173 ถนนดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กทม. 10200