นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม.กล่าวภายหลังเปิดตัวโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ กทม.ระยะที่ 2 ว่า ปีนี้เป็นปีที่ 2 ของห้องเรียนสู้ฝุ่นที่กทม.ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดทำ เพราะถือว่าจำเป็น เนื่องจากยังแก้ปัญหาจากต้นตอไม่ได้ 100% และเด็กเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด หากรับฝุ่นเข้าร่างกายจะสร้างผล กระทบระยะยาว
เบื้องต้นปีแรกมีห้องเรียนปลอดฝุ่น 32 ห้อง ปัจจุบันขยายเป็น 437 ห้อง ถือเป็นเรื่องดีที่เด็กมีสถานที่ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้จะขยายครอบคลุมไปยังศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียนด้วย
“ห้องเรียนปลอดฝุ่นไม่ใช่แค่เรื่องของกายภาพที่ทำให้ฝุ่นเข้ามาได้ แต่ยังเป็นเรื่องของการให้ความรู้ สร้างจิตสำนึก ให้นักเรียนตระหนักรู้ปัญหาฝุ่นอย่างละเอียด เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นจากต้นตอ”
สำหรับโครงการยกระดับองค์ความรู้สำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อการตระหนักถึง ปัญหาด้านสุขภาพในพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหา ฝุ่นละอองขนาดเล็กสู่นโยบายสาธารณะ หรือห้องเรียนสู้ฝุ่น ได้รับการสนับสนุนงบ ประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ครั้งนี้เป็นการดำเนิน การระยะ 2 ให้ครอบคลุมทั้ง 437 โรงเรียน
ทั้งนี้ มีเป้าหมายสร้างเมืองต้น แบบรับมือฝุ่นผ่านองค์ความรู้และข้อมูลวิทยาศาสตร์ โดยมีระบบข้อมูลองค์ความรู้ นวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับฝุ่น และชุดกิจกรรมเสริมหลักสูตร สำหรับใช้ในการเรียนการสอน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าฝุ่น PM2.5 สามารถสะสมในถุงลมฝอยของปอด แทรกซึมเข้าสู่กระแสโลหิตและกระจายไปทั่วร่างกาย และกลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 5 ของประชากรโลกใน ปี 58 นอกจากนี้ปี 59 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ 7 ล้านคน โดยเกิดจากมลพิษทางอากาศภายนอกอาคาร 4.2 ล้านคน ร้อยละ 91 เกิดในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกตะวันตก
ในส่วนประเทศไทยมีรายงานความเชื่อมโยงการได้รับสัมผัสและผล กระทบต่อการตายก่อนวัยอันควร โดยกลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้สูงอายุ.
ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 22 มี.ค. 2567 (กรอบบ่าย)