(23 ก.พ.67) เวลา 09.00 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้การต้อนรับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในโอกาสเดินทางมาเยือนศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งประชุมติดตามเร่งรัดพัฒนากรุงเทพมหานคร ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า วานนี้ได้แถลงเรื่อง 8 วิสัยทัศน์ของประเทศไทยไปแล้ว ซึ่งหลายข้อเกี่ยวข้องกับทางกรุงเทพมหานคร แม้เราจะพยายามกระจายความเจริญไปสู่จังหวัดต่าง ๆ แต่กรุงเทพมหานครก็ยังเปรียบเสมือนประเทศไทยขนาดเล็ก
วันนี้ดีใจที่ได้มาเยือนกรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรกและได้ทราบถึงวิสัยทัศน์ ตลอดจนแผนงานที่กรุงเทพมหานครมี ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ซึ่งนโยบายหลายเรื่องก็ล้อไปกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทยและล้อไปกับนโยบายของรัฐบาลด้วย
ประเด็นที่ฝากท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไว้ คือ ท่านทำงาน ทำอะไรดี ๆ ไว้มาก แต่บางทีอาจจะมีการสื่อสารน้อยไปสักนิด จึงอยากให้มีการสื่อสารให้มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เพียงการแถลงผลงานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสื่อสารเพื่อให้ทราบการทำงานว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์จากข่าวสารต่าง ๆ ทางรัฐบาล
โดยนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีการประสานงานใกล้ชิดกับทางผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอยู่แล้ว และจะมีการทำงานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมรับนโยบายจากทางกทม.ไปช่วยขยายผลต่อไป ยกตัวอย่างเช่น สัปดาห์ที่ผ่านมาที่กรุงเทพมหานครประกาศ Work from Home (WFH) ทำให้รถยนต์มีจำนวนน้อยลง 8-9%
หากมีการประสานที่ดีกับทางรัฐบาล เราก็จะประกาศพร้อมกัน อาจจะเป็นการประกาศให้หน่วยงานราชการ WFH สอดรับกันไป ซึ่งเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลายหน่วยงานต่างก็พยายามทำงานกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เพียงแต่ทำให้มีการประสานงานดีขึ้น เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ว่า ในเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่เราต้องจัดการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เพราะเดี๋ยวนี้มีการทำรูปลักษณ์บุหรี่ไฟฟ้าที่หลากหลาย เช่น ทำเป็นกล่องนม ทำให้ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มเด็ก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควร ในเรื่องของการนำเข้า ทางศุลกากรจะต้องเข้มงวดในการตรวจค้นให้มากยิ่งขึ้น
วอนเห็นใจกทม. ไม่ใช่ต้นตอปัญหาฝุ่น
เรื่องฝุ่นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทางเจ้าหน้าที่ กทม. ด้วย ปัญหาฝุ่นมีทุกปีอยู่แล้ว แต่ปีนี้ทราบได้เลยว่าปริมาณลดลงไปอย่างชัดเจน
ท่านผู้ว่าฯ ก็มาได้เกือบ 2 ปีแล้ว และได้ทำอะไรดี ๆ ไว้หลายอย่าง ตั้งแต่เรื่องใหญ่ จนไปถึงเรื่องนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง-ไส้กรอง โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อลด PM2.5 จากภาคการจราจร
รวมทั้งมีการออกนโยบายนำรถอัดฟางมาใช้ในพื้นที่เกษตรกรรมในกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองจอก เพื่อลดการเผา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรุงเทพมหานครใส่ใจในทุก ๆ รายละเอียด
“ปัญหาฝุ่นเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว มีในเรื่องของโครงสร้างอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง วันนี้รถไฟฟ้าเองมีการจดทะเบียนกว่า 10% แล้ว ปลายปีที่แล้วก็มีการซื้อรถไฟฟ้าประมาณ 40% ปัญหาของฝุ่นที่เกิดขึ้นในกทม. ส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการใช้รถประมาณ 50% หากเราสามารถให้คนมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นได้ก็จะเป็นการดี การขนส่งต่าง ๆ ที่ต้องมีการใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่
การย้ายท่าเรือคลองเตยที่ท่านผู้ว่าฯ เสนอมา ทางรัฐบาลเองก็ต้องไปพูดคุยว่าท่าเรือคลองเตยจะต้องมีการย้ายหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีการย้าย ก็จะยังมีการบรรทุกของต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ เยอะ ซึ่งทำให้เกิดปัญหา PM2.5
ยืนยันว่าทางรัฐบาลและทางด้านกทม.ได้พยายามแก้ไขปัญหานี้อยู่ แต่ถ้าจะให้ปัญหาเป็นศูนย์เลยในระยะเวลานี้เลยก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นธรรมกับทางท่านผู้ว่าฯ เท่าไร เพราะเชื่อว่าท่านได้พยายามทำอย่างเต็มที่ ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีความจริงจังจริงใจอยู่แล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวเสริมว่า เรื่องฝุ่นเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ต้องวิเคราะห์ให้ได้อย่างแท้จริงเพื่อจะสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ที่ผ่านมาเราดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้อย่างเข้มข้น เช่น การตรวจไซต์งานก่อสร้าง แต่เรื่องรถยนต์หากเราห้ามรถยนต์วิ่งในกรุงเทพฯ จะช่วยเรื่องฝุ่น PM 2.5 หรือไม่นั้น ตรงนี้ต้องมีการคิดอย่างรอบคอบ เพราะที่ผ่านมาในโซนเขตมีนบุรี หนองจอก ฝุ่น PM 2.5 สูงมาก แต่เป็นเขตที่มีปริมาณรถยนต์น้อย แสดงว่าฝุ่นอาจจะมาจากนอกพื้นที่กรุงเทพฯ
ดังนั้นการออกมาตรการต่างๆ ต้องมีการคิดอย่างละเอียดรอบคอบเพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนจำนวนมาก
ทั้งนี้ กทม. ได้มีการหารือกับกรมการขนส่งทางบกวางแผนระยะยาวในการลดจำนวนรถยนต์เก่าลง แต่คงต้องออกเป็นรูปแบบกฎหมายและค่อยๆ พัฒนาอย่างรอบคอบ
“เรื่องท่าเรือคลองเตยอยู่ในแผนวาระฝุ่นแห่งชาติอยู่แล้วตั้งปี 2562 เป็นเรื่องที่ต้องมาทบทวนกันว่าเวิร์กหรือไม่เวิร์กอย่างไร แต่เห็นตัวอย่างจากทั่วโลก เช่น ลอนดอน ท่าเรือที่อยู่ในเมืองเขาย้ายออกข้างนอกหมด ซึ่งจะมีผลในการควบคุมน้ำทะเลที่หนุนสูงด้วย หากท่าเรือยังมีเรือใหญ่เข้า-ออกแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ตลอดเราจะควบคุมได้อย่างไร ก็คงมีหลายปัจจัย ซึ่งท่านนายกฯ ก็คงให้ศึกษารายละเอียดให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่ง” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว
กทม.พร้อมเชื่อมโยงขนส่งสาธารณะ เสริมเส้นเลือดใหญ่รัฐบาล แก้ปัญหารถติด
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงปัญหาการจราจรในกทม. ว่า หัวใจของการแก้รถติดไม่ใช่การทำถนนเพิ่ม แต่หัวใจคือการทำขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้น
ซึ่งทางรัฐบาลได้ทำเส้นเลือดใหญ่จำนวนมากแล้ว มีรถไฟฟ้าต่าง ๆ สายสีส้ม สีเหลือง สีชมพู สีม่วงใต้ ซึ่งเป็นการทำต่อเนื่องกันมาหลายรัฐบาล แต่ปัญหาคือ ระบบ Feeder ที่จะทำให้คนออกจากบ้านมาถึงรถไฟฟ้าได้
ซึ่งทางกทม.พยายามดำเนินการอยู่ โดยทำทางเดินเท้าเพื่อให้คนสามารถเดินสะดวก ภายใน 4 ปี เราตั้งเป้าทำทางเดินเท้าให้ดีขึ้นอย่างน้อย 1,700 กิโลเมตร เพื่อเป็น First Mile/Last Mile ที่เชื่อมโยงระบบการเดินทางจากบ้าน รถในซอย รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถสาธารณะต่าง ๆ ตลอดจนโครงสร้างหลัก
ซึ่งเป็นสิ่งที่จะแก้ปัญหาในระยะยาว รวมทั้งระเบียบวินัยจราจร โดยกทม.ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปรับเรื่องไฟจราจร (ไฟเขียว-ไฟแดง) ให้มีความเป็นอัตโนมัติมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องทำกำลังดำเนินการอยู่ และคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมภายในปีนี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงทิศทางการพัฒนาในอนาคตของกทม. ที่อยากเห็น ว่า การพัฒนาใน กทม. มีหลายมิติ ทั้งเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย การจราจร PM2.5 ความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งต้องให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรม โดยจุดมุ่งหมายในการพัฒนาคือทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลและกรุงเทพมหานครมีการคุยกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ
สรุปผลรายงานประชุมติดตามความก้าวหน้าเร่งรัดพัฒนากทม.
สำหรับในช่วงเช้า ได้มีการประชุมติดตามความก้าวหน้าในการเร่งรัดพัฒนากทม. ใน 2 กลุ่มประเด็น คือ 1.การจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และ 2.การจัดการด้านสังคมและเศรษฐกิจ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครรายงานผลการประชุมแก่นายกรัฐมนตรี
แนวทางในการขับเคลื่อนเพื่อเร่งรัดพัฒนากรุงเทพมหานคร โดยการจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และการจัดการด้านสังคมและเศรษฐกิจ ได้แก่ ปัญหาจุดฝืดจราจรและวินัยจราจร ส่วนหนึ่งเกิดจากการฝ่าฝืนกฎจราจร ทั้งการจอดรถในที่ห้ามจอด การขับรถฝ่าไฟแดง การกลับรถในที่ห้ามกลับ รวมถึงปัญหารถรับจ้างสาธารณะ รถแท๊กซี่ รถสามล้อ จอดกีดขวางป้ายรถโดยสารประจำทาง ทำให้เกิดความไม่สะดวกและไม่ปลอดภัยในการใช้ถนน
แนวทางการแก้ไข 1.การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการบังคับใช้กฎหมาย โดยกรุงเทพมหานครจะเชื่อมโยงเครื่องมือตรวจจับการฝ่าฝืนกฎหมาย อาทิ การใช้ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่สามารถตรวจจับการฝ่าฝืนกฎหมายได้ หรือการใช้ข้อมูล input จาก GPS รถเพื่อตรวจสอบการจอดรถผิดกฎหมาย แล้วนำข้อมูลส่งมอบให้ตำรวจออกใบสั่งจับกุมผู้ฝ่าฝืน และเมื่อไม่จ่ายค่าปรับจะส่งข้อมูลเพื่อให้กรมการขนส่งทางบกห้ามต่อทะเบียนรถ 2.การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานทางด้านบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดภาระงานของตำรวจ และการถ่ายโอนภารกิจหน้าที่ในการบริหารจัดการจราจรบางประการให้แก่หน่วยงานท้องถิ่น 3.การใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการจราจรบูรณาการข้อมูลและระบบทางด้านเทคโนโลยี เพื่อช่วยให้กรุงเทพมหานครมีระบบการบริหารจัดการจราจรที่เป็นระบบและปลอดภัยมากขึ้น
ในส่วนของปัญหาด้านกายภาพส่วนใหญ่เกิดจากการก่อสร้างสาธารณูปโภค ซี่งส่งผลต่อพื้นผิวถนนทำให้เกิดผลกระทบด้านการจราจรในพื้นที่ โดยเฉพาะปัญหาคอขวด สิ่งก่อสร้างกีดขวางการจราจร สร้างปัญหาในการเดินทางของประชาชน
แนวทางการแก้ไข 1.ประสานหน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีการก่อสร้างสาธารณูปโภค ในการกำกับและอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้างในระยะเวลาที่เหมาะสม พร้อมทั้งตรวจสอบและวางแนวทางในการคืนผิวจราจรให้ประชาชนเร็วที่สุด พร้อมทั้งติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับการก่อสร้างและเส้นทางทดแทน 2.ขยายช่องจราจรหรือปรับปรุงพื้นผิวจราจรในบริเวณที่มีคอขวดเพื่อลดปัญหาวงเลี้ยวหรือทางแคบ
การปรับปรุงการบริหารจัดการและการควบคุมการจราจรในกรุงเทพมหานคร อาทิ จังหวะสัญญาณไฟจราจรที่ไม่สอดคล้องกับปริมาณจราจร การขาดการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อนำไปใช้ร่วมกับระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย
แนวทางการแก้ไข 1.ปรับรอบสัญญาณไฟจราจรให้มีความเหมาะสมในแต่ละจุด พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการจราจรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว 2.การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการจราจร ITMS (Intelligent Traffic Management System) เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงจังหวะสัญญาณไฟตามสภาพจราจรและปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการใช้ระบบสัญญาณไฟจราจรแบบ Adaptive Signaling เพื่อปรับตัวจากระบบอัตโนมัติตามการจราจรในแต่ละช่วงเวลา
การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ครอบคลุมอย่างทั่วถึง การขาดการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน รวมทั้งความสะดวกในการเข้าถึงระบบขนส่งและความเชื่อมต่อในการเดินทาง ทำให้ประชาชนต้องใช้หลายระบบเพื่อเดินทางถึงจุดหมาย
แนวทางการแก้ไข 1.เพิ่มโครงข่ายรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่ที่ยังไม่ครอบคลุม หรือปรับเส้นทางการเดินรถประจำทางในพื้นที่ที่มีการขยายตัวของเมืองเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการเดินทาง 2.ส่งเสริมการเดินทางสู่จุดหมายปลายทางด้วยโครงการ First and Last Mile โดยปรับปรุงทางเท้า และสนับสนุนโครงการ Bike Sharing 3.ใช้เทคโนโลยีและแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้รถ รวมถึงส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลรถสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกมากขึ้น 4.ปรับปรุงศาลาที่พักผู้โดยสาร และป้ายรถประจำทาง เพื่อให้ผู้เดินทางมีข้อมูลรถประจำทางที่อัปเดตตลอดเวลา ส่งเสริมระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกการเดินทาง
การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 จากแนวโน้มสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2564-2566 ฝุ่น PM2.5 เริ่มสูงขึ้นบางช่วงเวลาและบางพื้นที่ตั้งแต่เดือนธันวาคม
โดยจะมีแนวโน้มเข้าสู่สถานการณ์วิกฤต มีปริมาณฝุ่นละอองสะสมเกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กรุงเทพมหานครได้รับอิทธิพลจากสภาวะของอากาศที่นิ่งและปิดเอื้อต่อการสะสมของฝุ่นละออง ประกอบกับแหล่งกำเนิดที่ปล่อยฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร การคมนาคมขนส่งทางถนน และการเผาในที่โล่ง จากการติดตามเฝ้าระวังปริมาณฝุ่น PM2.5
โดยสถานีตรวจวัด 70 สถานีของกรุงเทพมหานคร พบว่าสถานการณ์ฝุ่นละออง ปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม เป็นต้นมา ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงของฝุ่น PM2.5 ตรวจวัดได้ระหว่าง 19.8 – 91.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยกรุงเทพมหานครได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
การแก้ไขปัญหารถแท็กซี่ รถสามล้อ และมัคคุเทศก์ผี จากข้อมูลการสำรวจของสำนักงานเขตในพื้นที่ และข้อมูลการร้องเรียนของตำรวจท่องเที่ยว พบจุดที่มีแท็กซี่จอดเรียกผู้โดยสารอยู่ โดยจะมีย่านใหญ่ๆ ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ย่านข้าวสาร 19 จุด
นอกจากนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียน (โทร.1584) กรมการขนส่งทางบก ได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการรถสาธารณะเกี่ยวกับการให้บริการที่ไม่เป็นธรรม อาทิ ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร ไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร แสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ ขับรถประมาทน่าหวาดเสียว ไม่ส่งผู้โดยสารตามสถานที่ที่ตกลงกัน
โดยพื้นที่ที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด ได้แก่ 1.หน้าห้างสรรพสินค้า เช่น เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน แพลททินัมไอคอนสยาม มาบุญครอง เอสพลานาด และฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 2.บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง 3.บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสาร เช่น จตุจักร (หมอชิต) เอกมัย และสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ ถนนบรมราชชนนี (ตลิ่งชัน) 4.สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วัดพระแก้ว สนามหลวง ย่านทองหล่อ อโศก และซอยนานา
แนวทางการแก้ไขปัญหา กรุงเทพมหานคร ได้รับความร่วมมือจากตำรวจท่องเที่ยว กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในการลงพื้นที่จับกุมผู้กระทำความผิดในย่านท่องเที่ยวหลัก และประสานข้อมูลดำเนินการร่วมกัน
โดยหน่วยงานที่ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการรถสาธารณะ ส่งให้ขบ.ผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น Facebook, @1584dlt และ Appication DLTGPS ของขบ. เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการเรียกผู้กระทำความผิดมาดำเนินการต่อไป จัดทำแผนปฏิบัติงานและส่งชุดตรวจการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้รับการร้องเรียน
โดยบูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง นำมาตรการการตัดคะแนนความประพฤติของผู้ขับรถ และการพักใช้เพิกถอนใบอนุญาตขับรถมาใช้อย่างเข้มข้น เพื่อควบคุมพฤติกรรมผู้ขับรถ ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายในภารกิจที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด
การนำพื้นที่ราชการมาพัฒนาเป็นพื้นที่ทำมาหากินของผู้มีรายได้น้อย หาบเร่แผงลอยเป็นแหล่งอาหารราคาประหยัด เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายคนกรุง ปัจจุบันมีผู้ค้า 20,012 ราย ในจุดผ่อนผัน 86 จุด 5,419 ราย จุดทบทวน 9 จุด 629 ราย นอกจุดผ่อนผัน 621 จุด 13,964 ราย มีพื้นที่ของหน่วยงานราชการหลายแห่งที่อยู่ใกล้พื้นที่ชุมชน ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น Hawker center ลานกีฬา สวนสาธารณะ มีพื้นที่ของหน่วยงานราชการหลายแห่งที่อยู่ใกล้พื้นที่ชุมชน ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น Hawker center ลานกีฬา สวนสาธารณะ กทม. ได้มีตัวอย่างความร่วมมือกับหลายหน่วยงานและได้ผลตอบรับไปในทิศทางที่เป็นบวก เช่น ร่วมมือกับ รฟม. บริเวณหน้าห้าง Union mall เพื่อจัดหาพื้นที่ให้ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย
การป้องกันและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จากสถานการณ์ปัจจุบัน ประชากรไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้า 78,742 คน ชาย 71,456 คน คิดเป็น 90.8% หญิง 7,256 คน คิดเป็น 9.2% เด็กและเยาวชน อายุ 15-24 ปี 24,050 คน คิดเป็น 30.5% กรุงเทพมหานครมีประชากรที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 47,753 คน คิดเป็น 60.7% ของประเทศไทย
แนวทางการแก้ไขปัญหา โดยปราบปรามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ภายในรัศมี 200 เมตร จากสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ต้องไม่มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า สื่อสารสาธารณะเพิ่มสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโทษพิษภัยและอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า สร้างชุดความรู้สื่อประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน
ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่ร่วมเผชิญปัญหาท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยมแถวเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กรมการขนส่งทางบก สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักเทศกิจ และสำนักอนามัย พร้อมทั้งปล่อยขบวนรถออกปฏิบัติการ บริเวณลานคนเมือง
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ว่า รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ในทุก ๆ ด้านโดยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงาน ระดมความคิดและกำลังทุกหน่วยงานมาช่วยกันสร้างกรุงเทพมหานครให้ดีกว่าเดิมและดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างความปลอดภัยและชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกคน
วันนี้รู้สึกดีใจมากที่ได้พบกับทุกท่าน และรับทราบว่าทุกคนปฏิบัติหน้าที่ได้ดีแค่ไหน เพราะตลอดเวลาระยะเวลาที่ผ่านมาในยามที่กรุงเทพฯ ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลําบาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ไฟไหม้ โรคโควิด19 ฝุ่นพิษ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการช่วยเหลือกันอย่างทันท่วงที รวมทั้งได้พลังจากเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และบรรเทาความเดือดร้อนต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างดี ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนากรุงเทพฯ ให้มีความเจริญก้าวหน้าตลอดมา
—–