นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กทม. กับ TikTok เพื่อร่วมขับเคลื่อนเป็นเมือง Smart City โดยมีระยะความร่วมมือ 2 ปี ทั้งนี้ ระบุ สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนเมืองว่ามีด้านคน ด้านสิ่งแวดล้อม และ ด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1.การทำให้ คนเห็นแก่ส่วนรวม การออกกฎต่าง ๆ ของ กทม.สามารถทำได้ แต่เป็นการยากที่จะนำมาบังคับใช้ ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้เมืองดีขึ้นได้คือให้คนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา และเห็นแก่ส่วนรวม
“การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมไม่สามารถใช้กฎต่าง ๆ มาควบคุมได้ เพราะเป็นการบังคับ เชื่อว่าแนวทางหนึ่งที่จะทำให้คนมีความรับผิดชอบแก่ส่วนรวม ช่องทางของ TikTok สามารถช่วยได้ เพื่อสื่อสาร และปรับพฤติกรรมคนให้ดีขึ้น”
2.ช่องทาง TikTok สามารถช่วยคนเล็ก ๆ ได้ ซึ่งหลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้โลกเปลี่ยน คนจะสนใจที่คุณภาพสินค้า ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ หากสามารถสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจได้ การค้าขายจะดีกว่าแบรนด์ใหญ่
โดยเฉพาะตลาดโบ๊เบ๊ เป็นตลาดแห่งหนึ่งที่มีข้อจำกัด เช่น มีการควบคุม มีเวลาเปิด-ปิด ขยายพื้นที่และลูกค้ายาก และ ไม่มีเสียงตอบรับถึงข้อดีข้อเสีย การนำร้านค้าย่านตลาดโบ๊เบ๊มาขายในช่องทาง TikTok สามารถลดข้อจำกัดดังกล่าวได้ เนื่องจากพฤติกรรมผู้ซื้อเปลี่ยนไปซื้อของออนไลน์มากขึ้น ผู้ค้าจึงต้องมีการปรับตัว
ผู้ว่าฯ กทม. ย้ำ หัวใจของ Smart City คือการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เมือง กทม.ก็มีนโยบายต่าง ๆ มากมาย แต่การสื่อสารให้ถึงประชาชน รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ ในเรื่องต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ Tiktok ก็เป็นแพลตฟอร์ม ที่มีคนใช้เป็นจำนวนมาก และสามารถสื่อสารได้หลากหลาย เช่น พฤติกรรมที่เห็นแก่ส่วนรวม การแยกขยะการศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือการค้าขายช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในระดับ SME
ทั้งนี้ มองว่าจะเป็นหนึ่งตัวอย่าง ขับเคลื่อนงาน กทม. ที่ทำให้เห็นว่าไม่สามารถทำเองได้ ต้องมีหลายภาคส่วนทั้งภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน ร่วมมือกัน.
ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 12 ต.ค. 2566 (กรอบบ่าย)
