BTS รออีกยาว กทม.โต้ไม่คิดเบี้ยวหนี้ 4 หมื่นล้าน แต่ติดปัญหาครม. ถ้าเคาะต่อหรือไม่ต่อสัมปทาน กทม.ก็พร้อมเดินหน้าแก้หนี้ได้ทันที เผยส่วนต่อขยายที่ 1 ชำระได้หากครม.ชัดเจน เพราะมีสัญญาถูกต้อง แต่ส่วนต่อขยายที่ 2 ต้องไปเริ่มกระบวนจ้างใหม่ เพื่อให้สภากทม.อนุมัติ โบรกฯ แนะ “ซื้อ” BTS เป้า 12.10 บาท หลังผู้โดยสารฟื้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ได้ปล่อยคลิปภาพและเสียงของนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ BTS ที่ทวงถามการชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) วานนี้ (22 พ.ย. 2565) นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการ กทม. และนายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าราชการ กทม. ได้ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกรณีดังกล่าว

ทั้งนี้ นายวิศณุ ระบุว่า ยืนยันว่ากทม.ไม่มีเจตนาไม่ชำระหนี้แก่ BTS และมีเงินสะสม ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่ 70,000 ล้านบาท เพียงพอที่จะชำระหนี้แน่นอน เพียงแต่ขั้นตอนทั้งหมดในปัจจุบันผูกติดอยู่ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทำให้กทม.ไม่สามารถดำเนินการสิ่งใดได้จนกว่าครม.จะมีความชัดเจนว่าจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติการต่อสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สืบเนื่องมาจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2562 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2562 ที่ให้ดำเนินการต่อสัญญาติดตั้งระบบไฟฟ้า จัดการเดินรถไฟฟ้า และบริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งเส้นทาง (สายหลัก ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช กับช่วงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน และส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสถานีสะพานตากสิน-บางหว้า กับสถานีอ่อนนุช-แบริ่ง และส่วนต่อขยายที่ 2 แบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต)

โดยหากครม.มีมติอนุมัติการต่อสัญญาสัมปทาน ทางกทม.ก็ไม่ต้องชำระหนี้ใด ๆ แก่ BTS เพราะจากคำสั่งคสช.ที่ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการในเรื่องเจรจาต่อสัมปทาน และคณะกรรมการได้เจรจาให้ฝ่ายเอกชน คือ BTS รับผิดชอบค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 (ระบุไว้ในร่างสัญญาร่วมทุน) ด้วย ซึ่งภาระหนี้จะถูกไปรวมไว้ในสัญญาสัมปทานใหม่

อย่างไรก็ตาม หากครม.ไม่อนุมัติการต่อสัมปทาน ก็จะแบ่งได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้ ส่วนต่อขยายที่ 1 ทางกทม.ก็จะต้องชำระค่าจ้างแก่ BTS ตามสัญญาสัมปทานเดิมที่ทำไว้ต่อกัน เพราะส่วนต่อขยายนี้ได้ทำการว่าจ้างอย่างถูกต้อง จึงไม่มีปัญหาในการเสนอสภากทม.ให้อนุมัติงบประมาณมาชำระค่าจ้าง หากสภากทม.อนุมัติก็อาจใช้วิธีลงนามในสัตยาบรรณเพื่อชำระค่าจ้างที่ค้างจ่ายอยู่ แต่หากสภากทม.ไม่อนุมัติก็อาจต้องรอความชัดเจนในชั้นศาล

สำหรับส่วนต่อขยายที่ 2 นั้น พบว่าเป็นการลงนามในสัญญาว่าจ้างที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น โดยพบว่าบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ได้ทำสัญญาว่าจ้างงานติดตั้งระบบ (E&M) และงานเดินรถ วงเงิน 19,358 ล้านบาท กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC บริษัทในเครือ BTS เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2559 ทั้งที่กทม.ยังมิได้ทำโครงการเสนอขออนุมัติงบประมาณจากสภากทม. และกทม.ยังมิได้ลงนามในบันทึกมอบหมายการทำสัญญาแก่ KT โดยบันทึกมอบหมายดังกล่าวได้ดำเนินการภายหลังในวันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ดังนั้นจึงส่งผลให้สภากทม.มิสามารถอนุมัติงบประมาณไปชำระหนี้แก่ BTS ได้ จึงต้องแก้ไขโดยเริ่มกระบวนการจ้างส่วนต่อขยายที่ 2 ใหม่ ด้วยการพิจารณารายละเอียดการว่าจ้าง ศึกษาค่าจ้างที่เหมาะสม กทม.ทำบันทึกมอบหมายการว่าจ้างและเสนอสภากทม.พิจารณา

ส่วนกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้กทม.ชำระหนี้ทั้งส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 แก่ BTS เป็นเงินรวม (เงินต้นและดอกเบี้ย) 11,755.06 ล้านบาท ไปแล้วนั้น ทางกทม.ได้ยื่นอุทธรณ์แล้วเกี่ยวกับประเด็นดอกเบี้ย ซึ่งกทม.เห็นว่า เนื่องจากกทม.มิได้มีเจตนาจะไม่ชำระหนี้ จึงมิควรคิดดอกเบี้ย พร้อมทั้งอุทธรณ์ด้วยว่า การว่าจ้างส่วนต่อขยายที่ 2 นั้นไม่ถูกต้องตามกระบวนการ ถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่ฝ่ายบริหารกทม.ชุดใหม่ตรวจพบ ซึ่งยื่นไม่ทันในช่วงการพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงมายื่นในชั้นอุทธรณ์แทน

ขณะที่ ปัจจุบัน KT ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินมาตรวจสอบรายละเอียดค่าจ้างส่วนต่อขยายที่ 2 ว่าเป็นอัตราที่เหมาะสมหรือไม่ พร้อมตั้งกรรมการเจรจากับ BTS ด้วย ซึ่งก็ควรให้เวลา KT ได้ทำงานก่อน นอกจากนี้ กทม.ยังได้เสนอขอให้ครม.ช่วยอุดหนุนค่าก่อสร้าง ซึ่งเป็นภาระหนี้ที่กทม.ต้องชำระคืนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ด้วย ซึ่งถือเป็นกรณีปกติที่รัฐต้องช่วยอุดหนุนค่าก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน แต่หากครม.มิให้การอุดหนุน ก็มีความเป็นไปได้ว่ากทม.จะส่งคืนโครงการสายเขียวส่วนต่อขยาย 2 ให้แก่รฟม. ซึ่งถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ต้องพิจารณาและเจรจาในรายละเอียดที่ชัดเจนกันต่อไป

นายวิศณุ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ทางกระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้มีหนังสือแจ้งมายังกทม. ขอทราบแนวทางการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสีเขียว เนื่องจากมีผู้ว่าราชการกทม.และสภากทม.ชุดใหม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกทม. ได้นำส่งหนังสือตอบกลับไปยังมท.แล้วว่า 1.ทางกทม.เห็นพ้องกับนโยบายการเดินรถแบบต่อเนื่อง (Through Operation) โดยรัฐบาลควรสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้าง ติดตั้งระบบและเดินรถ 2.เห็นควรที่จะเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวตามพ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2562 และ 3.ควรเร่งหาข้อยุติของครม.ตามคำสั่งคสช.เพื่อความชัดเจน

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า การชำระหนี้ระหว่างกทม.กับ BTS ยังคงมีความยืดเยื้อต่อไป และไม่น่าจะได้ข้อยุติในรัฐบาลชุดปัจจุบันแน่นอน และหากจะได้ข้อยุติในเรื่องนี้จริงน่าจะต้องรอความชัดเจนที่ศาลปกครองมากกว่าทางครม. เพราะหากครม.จะพิจารณา ก็คงจะพิจารณาไปนานแล้ว ประกอบกับกระทรวงคมนาคมยังเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่ยินยอมเรื่องการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งนี้หาก BTS ได้รับการชำระหนี้ก็จะมาช่วงหนุนสภาพคล่องให้ดีขึ้น ขณะที่ปัจจุบัน BTS ยังคงรักษาสภาพการเดินรถอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นนั้น เห็นว่า BTS ได้หาทางออกด้วยการออกหุ้นกู้ต่าง ๆ เพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องอยู่แล้ว

บล.ฟิลลิปฯ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BTS ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 12.10 บาท โดยพิจารณาบนพื้นฐานสัมปทานปัจจุบันของ BTS ที่ยังดำเนินได้ไปจนถึงปี 2572 ขณะที่ผู้โดยสารเติบโตต่อเนื่อง โดยล่าสุดเดือนตุลาคม 2565 BTS มีผู้โดยสาร 14.6 ล้านคน สูงกว่าเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของ BTS ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีผู้โดยสารที่ 2.8 ล้านคนเท่านั้น

ที่มา:  นสพ.ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 23 พ.ย. 2565