อาการระคายคอ คันจมูก ไอ แสบผิว เป็นแค่อาการเบื้องต้นจากฝุ่น PM2.5 ที่คนในกรุงเทพมหานครกําลังเผชิญอยู่ บางคนแก้ปัญหาด้วยการล้างหน้าหลบตัวอยู่ในอาคารที่พักหรือที่ทํางาน และสวม หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เหล่านี้คือ พฤติกรรมหลบเลี่ยงปัญหา งประชาชนสามารถทําได้ แต่ผู้บริหารเมืองไม่สามารถทําได้ ดังนั้นการค้นหาวิธีแก้ปัญหาฝุ่นพร้อมดูแลสิ่งแวดล้อมเมืองอย่างยั่งยืน จึงเป็นโจทย์ที่ผู้บริหารเมืองต้องเร่งดําเนินการ
พุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ สมาชิก สภากรุงเทพมหานคร เขตยานนาวา ในฐานะ ประธานคณะกรรมการการรักษาความสะอาด และสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัญหาหนักสุดตอนนี้ คือ “ฝุ่น” ซึ่งต้องเร่งแก้ไขทันทีคือ ฝุ่น PM2.5 และ ฝุ่น PM10 ซึ่งสร้างผลกระทบต่อสุขภาพ สูงสุด แต่กรุงเทพฯ ยังไม่มีแนวทางการแก้ปัญหา อย่างเป็นรูปธรรม
“ส่วนการแก้ปัญาด้วยการพ่นน้ำ หยุดงานหยุดเรียน ใส่หน้ากากไม่แก้ปัญหาอย่างแท้จริงแต่คณะกรรมการรักษาความสะอาดฯ ได้กําหนด แผนการแก้ปัญหาโดยใช้กลไกข้อกฎหมายและ การข้อความร่วมมือเป็นแนวทางเพื่อแก้ปัญหาจากต้นทางการก่อฝุ่น”
ขณะนี้กําลังออกข้อบัญญัติจัดการมลพิษเริ่มจากการเปลี่ยนรถเมล์ โดยกําหนดสาระสําคัญให้รถเมลล์ที่จะเข้ามาในเขตกทม.จะต้องเป็น ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี เบื้องต้นกําหนดไว้ภายใน 7 ปี แต่จะเหลื่อมเวลาอีก 1 ปี ก่อนจะให้มีผลทาง ปฏิบัติจริง เท่ากับว่า มีเวลาปรับตัว 8 ปี
สําหรับสาเหตุที่ต้องเป็นรถอีวีเพราะ รถยนต์สันดาปก่อ PM2.5 ซึ่งรถยนต์และ การจราจรติดขัดเป็นสาเหตุการเกิดฝุ่นในกรุงเทพ สูงถึง 60% หาก หากเริ่มจากการเลิกใช้รถเมล์เครื่องยนต์สันดาปก่อน และจัดการระบบรถเมล์และขนส่งมวลชนที่ดีควบคู่ไปด้วยจะทําให้แก้ปัญหารถติด ได้ด้วย ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทั้งแง่การเดินทางและสุขภาพ
“ปัญหาฝุ่นมาจากหลายสาเหตุ อย่าง ในกรุงเทพ มีทั้งฝุ่นที่มาจากการสร้างตึก แต่ แนวทางแก้ปัญหาจากนี้ อยากทําให้เป็นระบบ
ส่วนเรื่องขอความร่วมมืออาคารสูงพ่นน้ำเพื่อลดฝุ่น บิ๊กคลีนนิ่ง หรือแม้แต่ปลูกต้นไม้อยากให้เป็นแผน ระยะที่ 2 หลังจากจัดการกับต้นเหตุแล้ว”
สาเหตุที่การปลูกต้นไม้ยังไม่ใช่แนวทาง แก้ปัญหาฝุ่นได้ทันทีและโดยตรงเนื่องจาก พื้นที่ ปลูกต้นไม้ในกรุงเทพมีจํากัด โดยเฉพาะในส่วนที่จะ จัดสรรเป็นสวนสาธารณะ หรือ การขอความร่วมมือ ใช้พื้นที่เอกชนก็ทําได้ยาก ดังนั้น จึงมีแผนจะให้กลไกข้อกฎหมาย ว่าด้วยการกําหนดกฎระเบียบ
การก่อสร้างอาคาร ซึ่งกฎหมายเดิมกําหนดว่า ในพื้นที่โครงการ 100% ต้องมีพื้นที่ว่าง 30%
“เราจะใช้โอกาสจากข้อกําหนดกฎหมาย นี้ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกําหนดให้ในพื้นที่ 30% ต้อง เป็นพื้นที่ว่างตามกฎหมายให้กําหนดสัดส่วน 10% เป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อทําหน้าที่ดักจับฝุ่นเป็นการ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุในระยะยาว และหากได้มาตรการ ระดับชาติมาช่วยสนับสนุน เช่น การลดหย่อนภาษี สําหรับพื้นที่ ก็จะยิ่งทําให้แผนเพิ่มพื้นที่สีเขียว เป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันกทม.ไม่ต้องเสียเงิน ซื้อต้นไม้ด้วย”
อย่างไรก็ตาม ร่างแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบ ต่าง ๆ ยังอยู่ในขั้นการเข้าสู่การพิจารณาของสภา กทม. เบื้องต้นคาดว่าจะผ่านวาระที่ 1 เพื่อรับ หลักการ ก่อนเข้าสู่วาระที่ 2 ว่าด้วยการแก้ไขมาตรา ต่าง ๆ รายละเอียดถ้อยคําต่าง ๆ ก่อนเข้าสู่วาระที่ 3 และออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป เบื้องต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนเดือนกรกฎาคม 2566 เพราะขั้นพิจารณาคณะกรรมการวิสามัญ จะใช้เวลาประมาณ 40 วัน
ตามหลักการไม่ต้องพิจารณาว่าสภากทม.มีอานาจออกกฎหมายหรือไม่ สามารถเข้าวาระที่ 1 ได้ทันที โดยสามารถ คิดเทียบเคียงกับเทศบาล ตําบลแสนสุข ชลบุรี ที่กําหนดระเบียบห้ามใช้โฟม ในพื้นที่ปกครอง ซึ่งสิ่งที่กทม. กําลังทําคือห้ามไม่ใช่ รถเมล์สันดาปเข้าพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่การบังคับองค์การ ขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. แต่เป็นการ ขอความร่วมมือโดยมีข้อกฎหมายเป็นกติกาไว้ ถือปฏิบัติร่วมกัน หากแผนปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์สําหรับรถประจําทางสําเร็จแล้วจะขยายออกไปยัง กลุ่มรถตู้ เรือโดยสาร รถราชการ ต่อไป
ตามมาตรฐานสากลกําหนดให้ประชากร 1 คนต้องมีพื้นที่สีเขียว 9 ตารางเมตร แต่คนไทย มีค่าเฉลี่ยที่ 7 ตามตารางเมตรเท่านั้น และไม่มี แนวโน้มจะเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นหากใช้ช่องทางกฎหมาย ทีมีอยู่มาแก้ปัญหาต่างๆ ไม่เพียงทําให้ปัญหาลดลง แต่ปัญหาที่ว่านี้จะหายไปจากเมือง
“กรุงเทพมหานครก็จะไม่ใช่เมืองเปื้อน ฝุ่นอีกต่อไป” โรคภัยจากปอดภัยเสบก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะโรคภัยต่าง ๆ นั้นก็เป็นเหมือนปัญหา ของกทม. ที่ซ่อนตัวรอวันออกอาการและสร้าง ผลกระทบในอนาคตต่อไปหากยังไม่มีแผนแก้ไข อย่างชัดเจนตรงจุด
ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 เม.ย. 2566