แผ่นดินไหวที่ตุรกีและซีเรีย กับความหวั่นไหวของคนกรุงเทพฯ ถอดรหัสนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี จัดอยู่ในหมวดนโยบาย #โครงสร้างดี #ปลอดภัยดี
ล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ กทม.ร่วมสัมมนาเวทีใหญ่ “แผ่นดินไหวตุรกี ประเทศไทยพร้อมรับมือแผ่นดินไหวแล้วหรือยัง” จัดโดยกรมทรัพยากรธรณี
ติดตั้งเครื่องวัดสั่นสะเทือนตึกสูง
โดย “รศ.ทวิดา กมลเวชช” รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครระบุว่า “การบริหารจัดการความเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวของกรุงเทพมหานคร” ในฐานะคีย์แมนด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยแผ่นดินไหวของ กทม. สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่บนตึกสูงนั้นกทม. ยินดีให้มีการติดตั้งเครื่องวัดความสั่นสะเทือนที่ตึกหรืออาคารสังกัด กทม. เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน ในส่วนของห้างสรรพสินค้าหรืออาคารเอกชน สามารถขอความร่วมมือให้ ติดตั้งได้ ข้อมูลที่ได้จากเครื่องที่ติดตั้งทุกหน่วยงานสามารถนำไปใช้ได้
เบื้องต้นกรณีการสำรวจว่ากรุงเทพฯมีจุดเสี่ยงอยู่ที่ใดบ้าง ใช้งบประมาณไม่มาก แต่หากเป็นการสำรวจละเอียดลงลึก ลักษณะกายภาพของพื้นดินและความอ่อนไหวต่อแรงสั่นสะเทือน แตกต่างกัน จำเป็นต้องมีเครือข่ายจุดวัด แรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวใน กทม.
เครื่องมือใหม่ BKK Risk Map
“ประเด็นสำคัญคือ ในตอนนี้ แผ่นดินไหวตามตำแหน่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากรอยเลื่อนหลัก รอยเลื่อนแขนง จะส่งผลมากน้อยแค่ไหนต่อการเคลื่อนไหวทางกายภาพของแผ่นดิน กทม. เรายังไม่มีคำตอบตรงจุดนี้ ในขณะเดียวกันเราต้องการได้ข้อมูลที่แม่นยำ เพื่อให้มีหลักการและเหตุผลที่หนักแน่น เพื่อสามารถเดินหน้าโครงการต่อไปได้”
คำถาม กทม.มีความพร้อมแค่ไหนในการรับมือแผ่นดินไหว คำตอบคือ กำลังทำ BKK Risk Map ซึ่งกำหนดแผนที่จุดเสี่ยงในกรุงเทพฯ เพื่อให้คนกรุงสามารถเข้าถึงข้อมูลความเสี่ยงทุกรูปแบบ รวมถึงการอพยพเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และการระวังภัยแบบเรียลไทม์
โอกาสแผ่นดินไหวในไทย
ก่อนหน้านี้ “รศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์” อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา สาขาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก ม.เกษตรศาสตร์ ระบุว่า แผ่นดินไหวในประเทศไทย โอกาสเกิดเหมือนในตุรกี มีต่ำกว่า เพราะประเทศไทยมีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ใกล้ แต่ไม่ได้อยู่ที่บริเวณรอยต่อแผ่นเปลือกโลกที่เรียกว่า “รอยเลื่อน” ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท “รอยเลื่อนมีพลัง-รอยเลื่อนมีโอกาสจะมีพลัง-รอยเลื่อนหมดพลัง”
ประเทศไทยมีกลุ่มรอยเลื่อน 16 รอยเลื่อนที่มีพลัง รอยเลื่อนใกล้กรุงเทพฯมากที่สุดอยู่โซนกาญจนบุรี ระยะห่าง 200-250 กิโลเมตร มีโอกาสสร้างความรุนแรงให้กับกรุงเทพฯได้ ส่วนรอยเลื่อนที่อยู่ไกล ความรุนแรงของแผ่นดินไหวก็จะลดลงตามระยะทาง
อย่างไรก็ตาม พื้นที่กรุงเทพฯ มี ดินอ่อน ทำให้การรับรู้แรงสะเทือนแม้จะอยู่ไกลก็สามารถจะรับรู้ได้ และสามารถขยายสัญญาณบางอย่างที่จะทำให้อาคารบางประเภทโดยเฉพาะอาคารสูงมีการตอบสนองมากกว่าปกติ ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทราบในปัจจุบันคือ เราจะต้องออกแบบอาคารให้สอดคล้องกับรอยเลื่อนที่มีพลังเหล่านี้
จับตาตึกสร้างก่อนปี 2550
“ศ.ดร.นคร ภู่วโรดม” อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ระบุว่า ปัญหาแผ่นดินไหวมี 2 ปัจจัยทำให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ 1.อาคาร 2.ลักษณะของดิน และคลื่นแผ่นดินไหวที่มาถึง
โดยประเทศไทยมีการปรับปรุงมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหวให้มีความทันสมัยมากที่สุด อาทิ การศึกษาผลกระทบของดินอ่อน การออกแบบอาคารสูงที่เกิดขึ้นมากในกรุงเทพฯ ภายใน 10-20 ปีที่ผ่านมา การปรับปรุงมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหว เป็นต้น
ในส่วนของอาคารเก่าที่สร้างก่อนปี 2550 แม้จะมีการออกแบบให้สามารถต้านทานแรงลมซึ่งเป็นแรงทางด้านข้างเช่นเดียวกับแผ่นดินไหว แต่เงื่อนไขของการออกแบบต้านแผ่นดินไหวมีมากกว่า เช่น ต้องทำให้โครงสร้างเหนียว สามารถโยกตัวได้มากเพื่อรับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ฉะนั้น อาคารที่ต้านทานแรงลมได้อาจจะไม่สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้ 100%
กู้ภัยตึกถล่มต้องมี “วุฒิวิศวกร”
ไฮไลต์มาจากผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม “ภุชพงศ์ สัญญโชติ” หัวหน้าสถานีดับเพลิงและกู้ภัยลาดยาว กรุงเทพมหานคร หนึ่งในผู้ร่วมทีม USAR Thailand ซึ่งได้ไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหวที่ตุรกี ระหว่างวันที่ 9-18 กุมภาพันธ์ 2566 สรุปสาระสำคัญ แผ่นดินไหวตุรกีมีความรุนแรง 6.5-7.8 ริกเตอร์ ในเวลาห่างกันไม่มากนัก ทำให้อาคารถล่มทั้งเมือง
ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครเคยมีเหตุอาคารถล่ม ประสบการณ์ทำให้เห็นว่าความรวดเร็วในการเข้าช่วยเหลือเป็นสิ่งสำคัญ โดยการลงพื้นที่อาคารถล่มแต่ละครั้งจะต้องมี “วุฒิวิศวกร” ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมาย และสามารถใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจเพื่อความปลอดภัยของทุกคนได้ เพราะหากผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือไม่มีความรู้ด้านวิศวกรรม อาจจะทำให้เกิดการประเมินความเสี่ยงที่ผิดพลาดและเกิดเหตุวิบัติซ้ำซ้อนได้
ส่วนปัญหาที่พบคือ ประเทศไทยมี สายด่วนหลายสาย อาทิ 191, 199, 1646, 1669 จะต้องมีการประชาสัมพันธ์สายด่วนที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนได้ทราบ และติดต่ออย่างถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือที่ทันท่วงที
จัดทำรายงานตรวจสอบอาคาร
ในด้านกฎหมาย กทม.บังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ซึ่งมีอาคารที่เข้าข่ายการบังคับตามกฎกระทรวง กำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดิน ที่รองรับอาคารในการต้านทานแผ่นดินไหวปี 2550 และปี 2564 จำนวน 3,028 หลัง กับอาคารเก่าที่ก่อสร้างก่อนกฎหมายบังคับใช้ 10,386 หลัง
นอกจากนี้ ตามกฎกระทรวง กำหนดประเภทอาคารที่ต้องจัดให้มีผู้ตรวจสอบปี 2548 กำหนดให้เจ้าของอาคาร 9 ประเภท ได้แก่ 1.อาคารสูง 23 เมตรขึ้นไป 2.อาคารขนาดใหญ่พิเศษ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป 3.อาคารชุมนุมคน 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป หรือชุมนุม 500 คนขึ้นไป 4.โรงมหรสพ 5.โรงแรมที่มีห้องพัก 80 ห้องขึ้นไป 6.สถานบริการที่มีพื้นที่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป
7.อาคารชุดมีพื้นที่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป 8.โรงงานที่มีความสูงมากกว่า 1 ชั้น และมีพื้นที่ 5,000 ตารางเมตรขึ้นไป และ 9.ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย สูงจากพื้นดิน 15 เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่ 50 ตารางเมตรขึ้นไป หรือป้ายที่ติดตั้งบนหลังคาหรือดาดฟ้าของอาคาร หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของอาคารที่มีพื้นที่ 25 ตารางเมตรขึ้นไป
ต้องส่ง “รายงานการตรวจสอบอาคาร” ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น เพื่อพิจารณาออกใบรับรองการตรวจสอบอาคารหรือสั่งให้แก้ไข แล้วแต่กรณี
บรรยายใต้ภาพ
รศ.ทวิดา กมลเวชช
ที่มา: นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 – 26 มี.ค. 2566