(19 ต.ค. 65) รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมงานแถลงข่าว และฉายหนังสารคดี “เมื่อการข้ามเพศ ต้องได้รับการคุ้มครองจากรัฐ” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการส่งเสริมสุขภาวะและลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนข้ามเพศในประเทศไทย (Transgender Health Access Thailand: T-HAT) ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายร่วมจัดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจต่อการพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึง นโยบายของ กทม. ต่อการพัฒนาสุขภาวะของคนที่มีความหลากหลายทางเพศว่า แกนหลักนโยบายและวิธีคิดของทีม ท่ามกลางคำพูดของเราที่พูดว่าเรายอมรับความหลากหลายหรือกระทั่งว่ามีกลุ่มหลายกลุ่มในสังคม จริง ๆ ถ้ามองในแง่หนึ่งว่า เรารู้ว่าทุกคนหลากหลาย ทุกคนไม่เหมือนกัน และทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน ในที่สุดเราก็เหมือนกันทุกคน เราก็เป็นคน คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ว่าเป็นสิทธิ์เรื่องใดก็ตามก็เป็นสิทธิ์ที่เสมอกันหมด จากแนวคิดนี้ นโยบายท่านผู้ว่าฯ แนวคิด คือ Health for All ความหมายคือ เราจะได้ยินผู้ว่าฯ พูดเสมอว่าเวลาคิดถึงเรื่องของทุก ๆ คนในสังคม ให้คิดถึงคนที่ตัวเล็กที่สุด อยู่ในซอกเล็ก ๆ อยู่ในหลืบเล็ก ๆ อยู่ในมุมเล็ก ๆ ของสังคม ไม่ว่าเขาเป็นใคร เราก็ดูแล ไม่ต้องเฉพาะเจาะจงว่า เป็นกลุ่มไหน เป็นกลุ่มที่เราเลือกหรือไม่เลือก ไม่อยู่ในโจทย์ของ กทม. เลย พูดง่าย ๆ คือ ทุกคนต้องได้รับสิทธิ์ต้องได้รับการดูแลเฉกเช่นเดียวกัน เฉพาะฉะนั้น แนวคิดแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน ก็ถ่ายทอดไปสู่กลุ่มนั้นด้วยกันทั้งสิ้น แต่ถ้าในเรื่องเฉพาะ ซึ่งสังคมไทยเคยปิดมาก่อน สังคมไทยเข้าใจเรื่องนี้น้อย สังคมไทยทำให้เรารู้สึกว่าไม่ให้ความสำคัญ ประเทศไทยแปลกอยู่อย่างหนึ่งว่าบางครั้งบางเรื่องไม่เขียนว่าทำได้ หรือเขียนว่าให้ทำ ก็ไม่ทำ หลาย ๆ เรื่องถ้าเขียนไม่ให้ทำก็ไม่ทำเลย บางเรื่องเวลาอยู่ในช่องว่างก็ไม่ทำ สรุปก็ไม่รู้ว่าทำอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นท่านผู้ว่าฯ เองเน้นว่า ในบรรดากลุ่มทั้งหลายที่อยู่ในสังคม เราต้องให้ความสำคัญและรู้จักเขาจริง ๆ ดังนั้น เวลาตีความเรื่องนี้ เรื่องสุขภาวะอย่างเดียว เนื่องจากตัวเองดูเรื่องสุขภาพเรื่องสาธารณสุข จึงขอขยายคำนี้ว่า เราไม่ได้เจตนาดูแลเฉพาะสุขภาพ ไม่ได้ดูแลว่าเป็นโรคแล้วค่อยคุยกัน หรือแม้แต่ว่าความต้องการลึก ๆ คืออะไร
ก่อนหน้านั้น ทาง สสส. พูดว่า ลืมตาปุ๊บ แล้วฉันมีความสุข ตรงนี้สำคัญกว่า คือว่า ด้วยการที่เราเป็นคนแบบนี้จะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเรา แล้วเราพบว่าตื่นขึ้นมาแล้วเรามีความสุข ไม่ใช่เป็นเรื่องสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการใช้พื้นที่ในสังคม การมีกิจกรรม การมีตัวตน การมีพื้นที่ การมีคนให้ความสำคัญกับนโยบายทุกด้าน ไม่ใช่เรื่องสุขภาพเท่านั้น ดังนั้น ถ้าถามว่า กทม. ทำอะไรแค่ไหนภายใต้ทีมบริหารชุดนี้ที่เราทำนโยบาย ถ้าให้รายงานว่าทำอะไรแล้ว ตอนนี้มีอย่างหนึ่งที่ทุกคนสงสัยมากเวลาที่เราพยายามที่จะให้นักเรียนในโรงเรียนมีการเรียนรู้ที่เป็นสังคมโลก คนจะมีความสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับ LGBTQ+ เกี่ยวอะไรกับความหลากหลายทางเพศ คนถามแบบนี้แสดงว่าไม่เข้าใจว่าคนของโลกแปลว่าอะไร เพราะว่าการจะอยู่ในสังคมโลก ใครก็ได้อยู่ในสังคมนี้อย่างมีความเสมอกัน ดังนั้น เมื่อนักเรียนในโรงเรียนซึ่งทีมเราเปลี่ยนแนวคิด ด้วยการให้ความสำคัญกับการ Learning มากกว่า Education ดังนั้น การเรียนรู้ การมีปฏิสัมพันธ์ การยอมรับให้อีกคนหนึ่งสามารถมีความสุขเท่าตัวเองได้ ถ้าเป็นแบบนี้รากฐานของสังคมในอนาคตจะทำให้เราไม่ต้องพูดเรื่องการยอมรับหรือไม่ เพราะการยอมรับอยู่ในฐานของวิธีคิดของนักเรียนของเด็ก ๆ ของเราที่ผ่านการเรียนรู้เชิงสังคมในเรื่องนี้ เรียนรู้ที่จะมีเพื่อนที่ต่างจากเรา เป็นเพื่อนสนิทกับเรา และมีความต้องการที่หลากหลาย ซึ่งอยู่ในโครงการการศึกษาที่เหมือนไกล แต่จริง ๆ เป็นเรื่องที่แนบแน่นอยู่กับที่พยายามทำความเข้าใจว่า เขาอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
ที่ท่านคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พูดถึงการดูแลเรื่องสุขภาพ ตอนนี้ ทางสำนักอนามัย กทม.ก็มีความตั้งใจอยู่เดิม เพียงแต่ทีมงานเป็นสารเร่ง ท่านผู้ว่าฯ พูดว่าจะให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เรื่องสุขภาพได้รับการดูแล ซึ่งสิ้นเดือนนี้ จะทำให้ได้คลินิก 6 แห่ง อยู่ในกลุ่มเขต 6 กลุ่มเขตของ กทม. ในโรงพยาบาลของกทม. 5 แห่ง ที่มี Pride Clinic หรือคลินิกสุขภาพเพศหลากหลาย เมื่อเข้าไปจะได้รับบริการทั้งด้านของจิตใจ ให้คำปรึกษา ฮอร์โมน โรคทางเพศสัมพันธ์ หรือเรื่องใดก็ตาม สามารถมารับบริการจาก Pride Clinic ของ กทม. ได้ ตอนนี้มี 11 แห่ง โดยภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มให้ได้ 16 แห่ง จากศูนย์บริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และมีการประเมินว่าแต่ละพื้นที่ที่มีบริการ ตลอดจนช่วงเวลา และกลุ่มคนที่มาสามารถตอบสนองได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อที่ 10+ ที่กำลังจะเกิดขึ้นสามารถตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น โรงพยาบาลจะขยายจาก 5 แห่ง เป็น 9 แห่ง เพราะฉะนั้นการรองรับในที่สุด ปลายทางของ กทม. ในปีหน้า จะสามารถทำให้ได้เกือบจะครบทุกเขต ถ้าสามารถทำได้ แต่ต้องขอดูการบริหารของทรัพยากรและอัตรากำลังก่อน ซึ่งเป็นความตั้งใจที่จะทำให้ได้ สามารถมารับบริการในพื้นที่ได้เลย ในแง่ของสุขภาพ และอีกอย่างหนึ่ง ได้เข้าประชุม HIV ที่เพิ่งจัดขึ้น ตัวเลขของผู้ติดเชื้อในกทม. เป้าหมาย 95 % ในปี 2025 หรือ 3-4 ปี จากนี้ ผู้ที่มีเชื้อ ที่พบว่าตัวเองเป็น HIV ต้องทราบสถานะของโรคของตัวเอง ขณะนี้ กทม.ทำได้อยู่ เกินกว่า 95% ทราบสถานะ แต่เป้าหมายที่ 2 คือ 90-92% ผู้ที่ทราบสถานะได้รับการรักษา และมากกว่า 95% ไม่ได้แพร่เชื้อให้ผู้อื่น โดยเฉพาะกรณีลูกติดเชื้อ HIV จากแม่แล้ว ซึ่งใน กทม.ไม่มีแล้ว ถ้าพูดถึงความก้าวหน้าในการดูแลสุขภาพ กทม.พยายามเต็มที่และจะยังคงพยายามต่อไป ถ้าถามว่าอยากให้ดูแลสุขภาพแบบเบ็ดเสร็จไหม เป็นความต้องการมาก แต่มีหลายเรื่องที่กรุงเทพมหานครต้องพยายามต่อ แต่เรื่องสำคัญที่สุด คือ เรื่องช่องว่างที่เราไม่มีข้อมูล ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ กทม. อยากได้มากคือความร่วมมือจากเครือข่ายเรื่องข้อมูล เพื่อทำให้คนที่ตกหล่นจากระบบกลับเข้ามาได้ เพราะเป็นจุดอ่อนของ กทม.
“สุดท้ายนี้ การทำให้มีพื้นที่อย่างเป็นอิสระ กับการเลือกที่จะแสดงออก กับการเลือกที่จะมีกิจกรรม ไม่ใช่แค่เพียงการเปิดพื้นที่ทิ้งไว้ แต่หมายความว่า หาก กทม.สามารถดำเนินงานทั้งทางด้านวัฒนธรรม สามารถดำเนินงานในการทำให้พื้นที่ให้เป็นพื้นที่ทั่วไปมากที่สุดสำหรับทุกกลุ่ม เช่น Pride Month ต้องการพื้นที่แบบไหน ต้องการให้ กทม. ทำอะไร แล้วก็ในระยะต่อไป ทาง กทม. ขอความคิดเห็น ขอข้อมูลเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ และหวังว่าจะสามารถทำเรื่องนี้ร่วมกัน ประชากรของ LGBTQ+ กทม. มีประมาณ 1 แสนคน หรืออาจมากกว่านี้ ด้วยวิธีคิดสร้างสรรค์งานและกิจกรรมที่ดีมาก ซึ่งกทม. อยากจะทำ อยากรับฟังทุกความเห็น และพร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุนทั้งพื้นที่ สุขภาพ ความเป็นอยู่ เหมือนทุกคนเป็นเพื่อนเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในสังคม และจะให้พวกเราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไป” รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวในตอนท้าย
สำหรับผู้ร่วมงานแถลงข่าว ประกอบด้วย นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นางสาวสุภัทรา นาคะผิว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นางดวงพร ปิณจีเสคิกุล รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย คุณรตี แต้สมบัติ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (TGA) ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำภาควิชาสื่อสารมวลชนคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณฐิติญานันท์ หนักป้อ ผู้อำนวยการนิธิซิสเตอร์ คุณณชเล บุญญาภิสมภาร และคุณพักตร์วิไล สหุนาฬุ ผู้แทนคนข้ามเพศ
—–