ทีมข่าววาไรตี้
กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษรายงานผลการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ระหว่างวันที่ 1-5 กุมภาพันธ์ 2566 พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลควรเฝ้าระวังการสะสมของฝุ่นละออง เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่ง และปิด โดยพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่พื้นที่กรุงเทพฯกลาง กรุงธนเหนือ และใต้ (พื้นที่ท้ายลม) ขณะที่พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ มีแนวโน้มคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานช่วง 4-5 กุมภาพันธ์ 2566 แต่ควรเฝ้าระวังบริเวณภาคเหนือตอนบนและล่าง โดยเฉพาะช่วงวันที่ 31 มกราคม และ 1-3 กุมภาพันธ์ 2566
ฤดูกาลฝุ่นที่เริ่มต้น กิจกรรมรวมพลังลดฝุ่นได้เกิดขึ้นเช่นกัน งาน Action Day PM 2.5 BKK เมื่อวันเสาร์ที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา ณ สวนเบญจกิติ เขตคลองเตย กรุงเทพฯ โดยกรุงเทพมหานคร และสสส.ผนึกภาคีเครือข่าย Earth Hour 44 องค์กร อาทิ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นต้น ได้ร่วมกันแสดงพลังการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง โดยเข้าร่วมโครงการ Earth Month ร่วมลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในรูปแบบต่าง ๆ ประกอบด้วย การเวิร์ก ฟรอม โฮม (Work from Home) เพื่อลดการเดินทาง การเหลื่อมเวลาทำงาน การส่งเสริมให้บุคลากรใช้รถขนส่งสาธารณะมากขึ้น หรือการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ภายในงานยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อป เช่นการทำเครื่องอากาศดีไอวาย คลินิกรถ ลดฝุ่น พีเอ็ม 2.5 ให้บริการตรวจเช็กสภาพรถ แจกต้นไม้ลดฝุ่น ซึ่งผู้รับต้นไม้จะได้ร่วมลงทะเบียนพร้อมปักหมุดแสดงพื้นที่ที่จะปลูก เพื่อเข้าร่วมโครงการปลูกต้นไม้
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดกิจกรรม Action Day PM 2.5 BKK พร้อมกล่าวว่าหลายเรื่องไม่จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย แต่อาศัยความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็ง เราได้ภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งมาก 44 หน่วยงาน ทุกคนมาร่วมแสดงพลังยึดมั่นว่าอากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ถ้าทุกคนร่วมกันอย่างจริงจังขยายภาคีเครือข่ายสุดท้ายอากาศจะดีได้ในระยะยาว ซึ่งมีหลายเมืองที่พิสูจน์มาแล้วว่าทำได้จริง
“สถานการณ์โควิดที่ผ่านมาทำให้หลายบริษัทมีความพร้อมที่จะเวิร์ก ฟรอม โฮม อาจต้องคุยกับห้างต่าง ๆ ให้รถสาธารณะมีที่จอดมากขึ้น ไม่ต้องขับเวียนรอคน ซึ่งกทม.มีอำนาจกฎหมายจำกัด เราไม่มีอำนาจที่จะไปบังคับทุกเรื่อง แต่เราใช้ซอฟต์พาวเวอร์ใช้ความร่วมมือ ที่กทม.กังวลคือการเผาชีวมวลที่อยู่ด้านนอก และเริ่มเห็นการเผามากขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านเช่น กัมพูชา เดิมลมจะพัดลงอ่าวไทย แต่วันที่ 1-2 ก.พ. ลมจะเปลี่ยนมากทม. ทำให้ฝุ่นจากการเผาชีวมวลเข้ามา กทม. จึงคาดการณ์ไม่ได้ว่าค่าฝุ่นจะดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งกทม.ทำจ.ม.ถึงจังหวัดข้างเคียง และกระทรวงการต่างประเทศ ช่วยดูแลและกำชับเรื่องการเผา คุยผ่านอาเซียนเพื่อให้แสดงความเจตจำนงช่วยกันลดฝุ่น” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกล่าวว่า ในพื้นที่ กทม. ต้นกำเนิดของการเกิดฝุ่นมาจากการเผาชีวมวล ควันเสียจากรถยนต์ เรื่องการเผาที่อยู่นอกพื้นที่ กทม. เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก และการใช้รถยนต์มีรถดีเซลจำนวนมากที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ รวมทั้งสภาพอากาศที่ปิด นอกเหนือจากการลดต้นตอฝุ่นการคาดการณ์ทำนายฝุ่นว่าสภาพอากาศเป็นอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญ ที่ทำให้เราเตรียมตัวรับมือกับฝุ่น เตรียมตัวเวิร์ก ฟรอม โฮม และหน่วยงานที่ร่วมเวิร์ก ฟรอม โฮมใน กทม.เกิดขึ้น 33 แห่ง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลต้องมีความแม่นยำ สามารถคาดการณ์และเตือนล่วงหน้าได้ เอกชนจะไว้ใจและ ประกาศเวิร์ก ฟรอม โฮมได้ถูกต้องมากขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ปัญหาอยู่ที่ว่าคนที่มีรายได้น้อยและใช้รถดีเซลเก่าอยู่จะมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไร อาจมีมาตรการปรับเครื่องยนต์ กทม.ทำคนเดียวไม่ได้คงต้องร่วมมือกับหลายภาคส่วน
กรุงเทพมหานครเริ่มโปรเจคท์พิชิต ฝุ่นโดยเน้นการสร้างภาคี ค้นหาต้นเหตุสำคัญของฝุ่นที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ขณะที่ภาคส่วนของหน่วยงานที่ดูภาพรวมของฝุ่นทั่วประเทศ กรมควบคุมมลพิษ แถลงความพร้อมในการรับมือเรื่องฝุ่นตั้งแต่ปลายปี 2565
นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) บอกถึงการเตรียมพร้อมป้องกันและแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ประจำปี 2566 ว่า มุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดการระบายฝุ่นละอองในแต่ละพื้นที่ ดังนี้ 1. พื้นที่เมือง แหล่งกำเนิดมาจากการจราจรและโรงงานอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงเน้นมาตรการในการป้องกันการเกิดปัญหาและมาตรการแก้ไขปัญหา ดังนี้ ด้านการจราจร ขอความร่วมมือให้บำรุงรักษาเครื่องยนต์ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ซึ่งได้มีการกำหนดโครงการ อาทิ โครงการรถรัฐลดมลพิษ โครงการคลินิกรถ ลดฝุ่น PM 2.5 ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ให้บริการตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์ฟรี และลดค่าน้ำมันเครื่อง ค่าอะไหล่ และค่าแรงเป็นพิเศษ เน้นนำน้ำมันกำมะถันต่ำมาจำหน่ายในช่วงวิกฤติ ฝุ่น PM 2.5 รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดตรวจวัดควันดำและขยายพื้นที่ตรวจวัดควันดำ
เพื่อควบคุมตั้งแต่ต้นทาง เช่น บริษัทรถบรรทุก สถานีขนส่ง และอู่รถโดยสารสาธารณะประจำทางและไม่ประจำทาง อู่รถโดยสาร ขสมก. เป็นต้น
ด้านโรงงานอุตสาหกรรม จะมีการตรวจกำกับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มในการปล่อยมลพิษสูง ร้อยละ 100 ตลอดปี โรงงานผลิตคอนกรีตผสมเสร็จโรงงานแอสฟัลติก รวมทั้งสิ้น 896 โรงงาน นอกจากนี้ยังมีการควบคุมสถานประกอบการ ได้แก่ กิจการผสมซีเมนต์ กิจการหลอมโลหะ อู่พ่นสีรถยนต์ กิจกรรมผลิตธูป เป็นต้น
2. พื้นที่เกษตร สร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา โดยกำหนดเป้าหมายใน 62 จังหวัด เกษตรกรจำนวน 17,640 คน และตั้งเป้าหมายในการลดจำนวนจุดความร้อนร้อยละ 10
3. พื้นที่ป่า แหล่งกำเนิดฝุ่นละอองที่สำคัญมาจากไฟป่า ดังนั้นจึงเน้นการรณรงค์ประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ ป้องกันไฟป่า การบริหารจัดการเชื้อเพลิงด้วยวิธีชิงเก็บลดเผา ไม่น้อยกว่า 3,000 ตัน บูรณาการกับทุกภาคส่วน ส่งเสริมเครือข่ายความ ร่วมมือในการควบคุมไฟป่า การประยุกต์ใช้ระบบพยากรณ์ระดับชั้นอันตรายของไฟ (Fire Danger Rating System: FDRS) และดับไฟป่า โดยกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดให้ลดจำนวนจุดความร้อนละ 20% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง
ตั้งแต่ปี 2556 องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้ฝุ่น PM 2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ จะพบการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ทุกระดับค่า PM2.5 ที่เพิ่มขึ้น 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเสียชีวิตจากมะเร็งปอดร้อยละ 21 โรคหัวใจร้อยละ 14 ตามลำดับ
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสสส.ให้สัมภาษณ์ในงาน กิจกรรม Action Day PM 2.5 BKK ว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจแบบเรื้อรังและโรคมะเร็ง ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลต่อสุขภาพตนเองและคนใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่าง ๆ ในปี 2559 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่า ประเทศไทยจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดซึ่งมีสาเหตุมาจากมลพิษอากาศถึง 6,330 ราย แนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ปี 2563 พบรายงานผู้ป่วยมะเร็งปอด 122,104 ราย คิดเป็น 186.26 ต่อแสนประชากร
ปัญหาฝุ่นมีความซับซ้อนเล็กละเอียดไม่ต่างจากขนาดของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่เล็กกว่าเส้นผม แต่มีตัวอย่างให้เห็นว่าจีนที่เคยเผชิญปัญหาฝุ่นมาอย่างยาวนาน แต่สามารถลดค่าฝุ่นได้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เช่นไม่กำหนดค่าปรับของโรงงานที่สร้างฝุ่นพิษ แต่ให้ศาลพิจารณาสั่งปรับตามค่าความรุนแรงของฝุ่นที่เกิดขึ้น จนสามารถทวงคืนอากาศสะอาดให้พลเมืองของประเทศ ได้สำเร็จ.
ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 2 ก.พ. 2566 (กรอบบ่าย)