ทีมข่าวเฉพาะกิจ
อุณหภูมิร้อนระอุ ไฟปะทุโหมหนักเอาการ สำหรับการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 2) ประจำปีพุทธศักราช 2567 เมื่อ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ณ อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง โดยมี ดร.จอห์น สุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ส.ก.เขตลาดกระบัง นั่งเก้าอี้ประธานสภาแน่นอนว่า ญัตติด่วนๆ มาแรงแซงทุกประเด็น สืบเนื่องจากเหตุไฟไหมชุมชนตรอกโพธิ์ เยาวราชซอย 7 ในช่วงค่ำของคืนวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งแม้ไม่มีผู้บาดเจ็บรุนแรง หรือเสียชีวิต ทว่า สร้างความเสียหายชนิดยกทั้งชุมชนไม่เหลือแม้เพียงหลังคาเดียว ยังไม่นับการลุกลามไปยังอาคารข้างเคียงที่รายล้อม
ประกอบกับระยะเวลาการควบคุมเพลิงที่ยาวนานราว 3 ชั่วโมง นำไปสู่คำถามต่างๆ มากมายจากภาคส่วนต่างๆ ที่ออกมาวิพากษ์ เช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกสภากรุงเทพมหานครที่ผลัดกันลุกจัดหนัก ขณะที่ #ทีมชัชชาติ ต้องเร่งดับความร้อน ลุกขึ้นแจกแจงเหตุและผล อีกทั้งข้อมูลแบบรัวๆ
ส.ก.ทุ่งครุคาใจ ถัง (ดับเพลิง) เก่าเก็บไป ‘ถังใหม่’ เมื่อไหร่มา?
เปิดฟลอร์ด้วย กิตติพงศ์ รวยฟูพันธ์ ส.ก.เขตทุ่งครุ พรรคเพื่อไทย ตั้งญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่อง ‘ขอให้กรุงเทพมหานครจัดทำแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอัคคีภัย’ โดยยกเคสเทียบเคียงจากเหตุการณ์ก่อนหน้า เมื่อครั้งถังดับเพลิงระเบิดจากการซ้อม ที่โรงเรียนราชวินิตมัธยม เมื่อ 22 มิถุนายน 2566 ซึ่งเป็นถังรุ่นเก่า เรียกว่า ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) มีผู้เสียชีวิต 1 ราย หลังจากนั้นกรุงเทพมหานครมีคำสั่งให้ทางสำนักงานเขตประสานกับทางสถานีดับเพลิงทุกเขต ให้ไปเก็บถังดับเพลิงเก่าเกือบ 20,000 ถัง รวมถึงชุมชนตรอกโพธิ์ เขตสัมพันธวงศ์ แต่เกิดคำถามตามมา
“ถังเหล่านี้ถูกเก็บไป ประชาชนถามมาว่า ถังชุดแรกที่ กทม.เอาไปเก็บ และใช้ไม่ได้ มีกี่เปอร์เซ็นต์ ผมเลยไปหาคำตอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เขาบอกว่าถังที่กักเก็บชุดแรกใช้ได้ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่พอใช้ได้แล้ว ก็ยังรอไปคืนให้ประชาชน จนกระทั่งมีเหตุเพลิงไหม้ขึ้นมาถึงต้องมาตั้งญัตติถามเรื่องนี้อีก ประชาชนก็ถามว่าแล้วเมื่อไหร่จะได้ของใหม่ เพราะเห็นว่าของใหม่นี้มันผ่านงบมาตั้งแต่ปี 2566 แล้ว ทำไมจนถึงวันนี้แล้วของยังไม่มาอีก ก็เลยไปเช็กได้ข่าวว่าประมูลอะไรเรียบร้อยแล้ว แต่มีคนร้องเรียน ก็เลยทำให้เกิดสุญญากาศ
เคสนี้ถังเก่าเก็บไปแล้วถังใหม่ยังไม่มา พอเกิดเหตุนี้ตนได้อ่านคอมเมนต์มีคนพูดว่า ถ้ามีถังอาจจะเบากว่านี้ หรือ อาจจะดับได้ทันเวลา แต่เรื่องนี้ไฟไหม้เราไม่โทษเพราะไม่ใช่ความผิดของ กทม. แต่ตั้งคำถามต่อฝ่ายบริหารว่า แล้วถังใหม่เหล่านี้จะต้องรออีกนานหรือไม่ ทำไมไม่เอาถังเก่าที่ใช้ได้ไปให้เขาก่อน แล้วช่วงสุญญากาศแบบนี้ ถ้าเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นมาอีกใครจะเป็นคนรับผิดชอบ” กิตติพงศ์ ตั้งคำถาม
อีกประเด็นสำคัญคือ ‘ประปาหัวแดง’ ซึ่ง ส.ก.ทุ่งครุมองว่า ประชาชนไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
“ประชาชนไม่รู้จัก Risk Map กทม.เรามีแอพพ์ ไลน์ต่างๆ เต็มไปหมด แต่ประชาชนยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำว่า ประปาหัวแดงใกล้เขาอยู่ไหน และเรื่องสุดท้าย สถานประกอบการหลายที่ยังไม่ให้ความร่วมมือ เช่น ถ้าเป็นตึกสูงก็ต้องเป็นสำนักงานโยธา ถ้าเป็นตึกเตี้ย เป็นโรงงาน เขาไม่ให้ความร่วมมือ จะไปตรวจหรือไปคุยก็จะอิดออด แล้วระบบ Safety กทม.เรามีความเข้มงวดขนาดไหน
เคยได้ยินเรื่องในอดีต ที่ปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ว่า ถ้าไม่อยากให้เขตมายุ่งกับโรงงาน หรือ ร้านอาหารเราบ่อย เวลามีโต๊ะแชร์สนับสนุนก็ช่วยจ่ายหน่อย เวลาเขามาตรวจจะได้ไม่ค่อยเข้ม ประเด็นปัญหามันมักเกิดขึ้นตอนไฟไหม้ ทางหนีไฟ ระบบป้องกันอัคคีภัยในโรงงานเป็นอย่างไรบ้าง
ฝากไปถึงฝ่ายบริหารว่าวันนี้เขาอาจจะเสียแค่โต๊ะละหมื่นบาท เพื่อไม่ให้ไปยุ่งกับเขา หรือ บางทีอาจจะเป็นบางสำนักที่อะลุ่มอล่วยหน่อย แต่พอเกิดปัญหาทีเป็นข่าว ส.ก.ในพื้นที่เหนื่อย ต้องมาตอบว่าถังแดงในพื้นที่ตรงนี้เคยมาตรวจหรือไม่” กิตติพงศ์กล่าว ก่อนย้ำว่า กทม.ต้องมอบหมายทุกเขตให้ไปสำรวจทุกจุด ซึ่งตนได้ยินมาไม่รู้จริงเท็จอย่างไรว่า ส่วนใหญ่ที่เขาไปสำรวจแค่ชุมชน ไม่ได้สำรวจตามหมูบ้านเปิด อาคารพาณิชย์ ซึ่งบางพื้นที่ชุมชนมีไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แปลกว่าที่เหลือ 70 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ถูกสำรวจใช่หรือไม่
ส.ก.คลองสานแนะ ประปาหัวแดง ‘อย่าตอบแบบขอไปที’ ส.ก.สวนหลวง จี้ MOA กทม.-กปน. วันนี้ถึงไหน?
ด้าน สมชาย เต็มไพบูลย์กุล ส.ก.เขตคลองสาน พรรคประชาธิปปัตย์ ลุกอภิปรายว่า การซื้อถังดับเพลิงไม่จำเป็นต้องซื้อผ่านฝ่ายพัฒนาชุมชนเพียงอย่างเดียว ต้องให้ฝ่ายปกครองซื้อได้ด้วย ซื้อไปแล้วให้อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ไปเดินติด ไปชี้จุด 5 บ้าน 1 ถัง ทำให้เกิดประโยชน์ที่สุด ไม่ต้องไปกระจุกตัวอยู่ในชุมชนเพียงอย่างเดียว
“ส่วนเรื่องประปาหัวแดงหน่วยงานราชการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีเพียงพอ คือ การติดตั้งเพียงพอ ผมก็เชื่อ แต่จับใจความสำคัญได้ว่า ข้างนอกมี 1 หัว แต่ข้างในที่เกิดอัคคีภัยมี 1 หัว ข้างในใช้ไม่ได้เนื่องจากเป็นต้นเพลิง
2 อันผมว่าพอนะ แรงดันน้ำพอถ้าเราสามารถเข้าไประงับเหตุได้ แต่ไฟไหม้ชุมชนไม่มีเครื่องสูบน้ำ สายดับเพลิง เปิดหัวแดงมามันก็ฉีดอะไรไม่ได้ นี่คือการตอบแบบขอไปทีว่ามีหัวแดงพียงพอ แต่หน้างานทีมงานผมไปดับเพลิงบอกว่า ประปาดับเพลิงมีหัวเดียวแล้วก็ไม่แรง เพราะพ่วงกันหลายสาย
แต่สิ่งที่ผมเห็นแล้วเขารายงานมาเลยว่า ใช้สายดับเพลิงจุ่มสายดับเพลิงลงไปในท่อระบายน้ำมาฉีดแทน อย่างนี้จึงเกิดคำว่าประปาหัวแดง ไม่เพียงพอในการดับเพลิงในครั้งนี้ รวมทั้งซอยนี้แคบรถน้ำเข้าไปสนับสนุนลำบากอันนี้ผมเข้าใจ แต่เราต้องเปิดใจกว้างต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์” ส.ก.คลองสานแนะ
ต่อด้วย ปิยะวรรณ จระกา ส.ก.เขตสวนหลวง พรรคเพื่อไทย ที่กล่าวเสริมว่า ขอฝากประเด็นเรื่องการติดตั้งประปาหัวแดงในกรุงเทพมหานคร จะมีหัวประปาและหัวจ่ายน้ำตัว T ซึ่งจะอยู่ในบริเวณคับแคบ หรือ ชุมชน
“จากที่ได้ลงพื้นที่ชุมชนกับสถานีดับเพลิงพระโขนง กับ สถานีดับเพลิงหัวหมาก ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำริมคลอง มีสายดับเพลิงแบบหาบหามก็จริง แต่สายฉีดน้ำดับเพลิงมีความยาว 20-30 เมตรเท่านั้น ทำให้การเข้าถึงการดับเพลิงในแหล่งชุมชน ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถเข้าถึงได้ อยากฝากถามฝ่ายบริหารว่า ก่อนหน้านี้เราได้ยินว่ามีการเซ็น MOA ระหว่าง กทม. กับ การประปานครหลวง ตอนนี้มีการดำเนินการถึงไหนแล้ว อีกหนึ่งเรื่อง คือ การที่บางเขตไม่มีสถานีดับเพลิง หรือ ไม่มีรถดับเพลิงที่เพียงพอ จะมีนโยบายหรือมาตรการใด ที่จะทำให้ทาง อปพร.เขาได้มียานพาหนะในการเข้าถึงดับเพลิง” ส.ก.เขตสวนหลวงฝากคำถาม
ชัชชาติ ลุกแจง ประปาหัวแดง 24,000 หัวมีทั่วกรุง37,000 ถังดับเพลิง กระจายชุมชน 4 เดือน
เจอจัดหนักรัวๆ เช่นนี้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลุกบรรเทาความร้อนระอุในสภา กทม. ด้วยการชี้แจงว่าเรื่องไฟไหม้เป็นเรื่องสำคัญและเรื่องใหญ่ ซึ่งตอนที่ตนเข้ามาเป็นผู้บริหาร และเริ่มสภาสัปดาห์แรกก็มีไฟไหม้ใหญ่ที่บ่อนไก่ หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้ได้สำรวจหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นประปาหัวแดง ถังชุมชน หรือ การซ้อมหนีไฟต่างๆ ในชุมชน
“ประปาหัวแดงก็เป็นเรื่องสำคัญ เราก็มีการทำตัวตำแหน่ง มีอยู่ประมาณ 24,000 หัว ทั่วกรุงเทพมหานคร จากเหตุการณ์ที่บ่อนไก่มีการวิเคราะห์กับการประปานครหลวงว่า มีพื้นที่ต้องเพิ่มอีก 258 จุด ตามจริงใส่ไปเพิ่มในงบประมาณปี 2567 แล้ว เป็นส่วนงบประมาณอุดหนุน แต่ปรากฏว่าเงินอุดหนุนไปให้การประปาไม่ได้ เพราะการประปาเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกำไร ซึ่งต้องมีการแก้ข้อบัญญัติในตรงนี้ คิดว่าตัว MOU หรือ MOA ที่ได้กล่าวจะมีการเร่งทำขึ้นมาก่อนประมาณ 30-40 หัว เรื่องประปาหัวแดงก็เร่งดำเนินการอยู่” ชัชชาติ อธิบาย
ส่วนเรื่องถังดับเพลิง ผู้ว่าฯ กทม. เผยว่า มีการประมูล 2 ล็อต ซึ่งล็อตแรกประมาณ 1 หมื่นถัง ก็มีข้อร้องเรียน แต่คิดว่าเดือนนี้น่าจะเรียบร้อยส่งของได้ 1 หมื่นถังได้
“ส่วนอีกล็อต คือ 27,000 ถัง ฉะนั้นทั้งหมดเราก็จะมี 37,000 ถัง ที่กระจายลงชุมชน ตลอด 4 เดือนข้างหน้านี้ ส่วนชุมชนไหนที่ขาดแคลน หรือ การกระจายลงพื้นที่ที่ไม่ใช่ชุมชน เดี๋ยวให้ทางเขตไปพิจารณากำหนดจุดที่เหมาะสมอีกทีหนึ่ง
ส่วนเรื่องที่ 3 คือ เรื่องการดับเพลิง จากที่ท่านสมาชิกได้กล่าวก็ต้องยอมรับว่ามีปัญหาจริง 2 ส่วน เรื่องแรก คือ กรณีของตรอกโพธิ์ มีการตัดไฟจากไฟฟ้านครหลวง ซึ่งอาจจะมีการประสานงานที่ไม่ดีพอนัก อาจจะมีบางส่วนที่พนักงานดับเพลิงโดนไฟดูดก็มี อันนี้ก็ต้องประสานงานดีขึ้น
สำหรับลำดับขั้นตอนในการเข้าดับเพลิง กรณีของตรอกโพธิ์เราใช้เวลาประมาณ 6 นาที จากสถานีภูเขาทอง ปรากฏว่ารถกระบะอาสาสมัครบรรเทาภัยที่เป็นเอกชนไปถึงก่อน ก็ช่วยดับก่อน แต่มีผลต่อเนื่องไฟลามไปยังอาคารสูง ที่ต้องใช้บันไดขึ้นไปดับ
“ปรากฏว่า รถเล็กที่เป็นรถของอาสาสมัคร จอดหน้าตึกสูงหมดเลย เพราะเราไม่คิดว่าไฟจะไหม้ตึกสูง จึงต้องมีการให้ถอยรถกระบะออก เอารถบันไดเข้าไป ผมคิดว่าการประสานงานระหว่างอาสาสมัครก็เป็นส่วนสำคัญกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดการประสานงานอย่างครบถ้วน ลำดับการเข้าก่อน-หลัง บัญชีการระงับเหตุต้องมีการประสานให้ละเอียดขึ้น อันนี้เราก็มีการประสานงานกันอยู่ มีการฝึกร่วม แต่บางครั้งพอเกิดเหตุทุกคนก็มุ่งมาช่วยกันแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชน ผมคิดว่าอาจจะต้องมีการฝึกซ้อมร่วมนี้มากขึ้น” ชัชชาติอธิบาย
ซ้อมหนี 370 แห่ง ผุด BKK Food bank เพื่อกลุ่มเปราะบางยามฉุกเฉิน
ชัชชาติกล่าวต่อไปถึง การซ้อมเหตุเพลิงไหม้ในชุมชน โดยยกเหตุการณ์ไฟไหม้ที่สาทร มีเยาวชนเสียชีวิต 1 ราย เพราะเข้าไปหลบในห้องน้ำ
“ปู่ ย่า หนีออกมาได้หมดนึกว่าหลานออกมาแล้ว อันนี้ก็เป็นบทเรียนที่เราเอามาให้เกิดการฝึกซ้อมหนีไฟในแต่ละชุมชน เพราะจะได้รู้ว่าเส้นทางไหนที่ต้องหนีออกมา อาจจะไม่ได้เน้นเรื่องการดับไฟ แต่ให้หนีไฟให้ถูก ปีนี้เราซ้อมไป 370 แห่ง ซึ่งชุมชนตรอกโพธิ์ก็เป็นหนึ่งในชุมชนที่เราซ้อมเส้นทางการหนีไฟในตอนต้นปีด้วย อันนี้ก็เป็นอันหนึ่งที่ช่วยให้ไม่มีผู้เสียชีวิต หรือ บาดเจ็บหนักในชุมชน”
อีกหัวข้อที่ถกหนักในโลกออนไลน์ คือ การเปิดรับบริจาค ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหว และสุ่มเสี่ยงในประเด็นโปร่งใส
“เรื่องการบริจาคผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เราก็อยากจะช่วยทุกคนถ้าเกิดมีแนวทางปฏิบัติได้ชัดเจนเพื่อเกิดความโปร่งใส ตอนนี้เรามีโครงการที่เรียกว่า BKK Food bank ที่เราจะเก็บสะสมเครื่องอุปโภคบริโภคสำหรับผู้เปราะบางไว้ ตามจริงแล้วก็เปิดทุกเขต แล้วถ้าหากว่ามีเหตุที่ต้องช่วยเหลือผู้เปราะบาง หรือ ผู้ประสบเหตุต่างๆ ช่วงที่ไม่มีภัยก็เอามาบริจาคไว้ที่ Food bank นี้ได้
ถึงเวลาที่เกิดภัยเราก็สามารถที่จะเอาของเหล่านี้ไปให้ผู้ประสบภัยได้ทันที ก็จะทำให้เรามีสต๊อกของสำหรับอุปโภคบริโภคสำหรับผู้ที่มีเกินมาแบ่งปันได้ อันนี้จะช่วยให้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน คนจะได้ไม่ต้องไปแออัดเพื่อบริจาคของกัน ก็คือทยอยบริจาคแล้วเก็บไว้ที่โกดังของเรา แล้วเอาของจากคนที่บริจาคไว้ไปแบ่งปันได้ ส่วนแนวคิดที่ว่าจะเอาเงินบริจาคไปช่วยเหลือ ก็คงจะรับไปดำเนินการแล้วหาทางที่รอบคอบและโปร่งใสอีกครั้งหนึ่ง” ชัชชาติทิ้งท้าย
บ้าน 5 หลัง 1 ถังดับเพลิง จดทะเบียนคิวอาร์ ตุลาฯ ปีนี้ติดตั้งแน่
จากนั้น ถึงคิว ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ลุกขึ้นตอบตัวเลขแบบเป๊ะๆ ของถังดับเพลิงเก่าที่เก็บจากชุมชนต่างๆ คือ 28,137 ถัง โดยเลือกเก็บเฉพาะถังที่เสื่อมสภาพและกลับไปใช้ไม่ได้แล้วทั้งสิ้น จะไม่มีถังที่นำกลับเอามาเติม หรือนำกลับมาใช้ใหม่ โดยถังที่ปรากฏอยู่บนแมป มีอยู่ 33,000 กว่าถัง ซึ่งยังคงอยู่ในชุมชน และเป็นถังที่แสดงให้เห็นถึงสีและชนิดของถังดับเพลิงที่อยู่ในตำแหน่งของชุมชนตามจริง
ถังดับเพลิงแบ่งซื้อทั้งหมด 2 ปีงบประมาณ โดยแบ่งออกเป็นงบประมาณปี 2566 จำนวน 9,979 ถัง แต่เนื่องจากมีปัญหา TOR เล็กน้อย และจะนำส่งในเดือนกันยายน และติดตั้งได้ในเดือนตุลาคมของปี 2567 ซึ่งมีความล่าช้าไป 1 เดือน เนื่องจากตามมาตรฐานของการขนส่ง แม้ว่าถังดับเพลิงจะซื้อมาแบบมี มอก. แต่ต้องมีการส่งทวนมาตรฐานของถังก่อนนำไปติดตั้งอีก 1 รอบ ฉะนั้นการติดตั้งถังดับเพลิงปี 2566 จะเป็นแบบนี้ ส่วนของปี 2567 ได้นำส่งล็อตแรกแล้วจำนวน 9,240 ถังในเดือนนี้ และกำลังตรวจสภาพอยู่ ตอนนี้ล็อตแรกที่ส่งตรวจสภาพได้นำกลับมาแล้ว และคาดการณ์ว่าภายในสัปดาห์หน้าจะสามารถติดตั้งได้
“ในส่วนของหลักการติดตั้งถังดับเพลิง เราจะติดตั้ง 5 หลังคาเรือนต่อ 1 ถังในกรณีที่ชุมชนมีข้อตกลงว่า ไม่ติดหน้าบ้าน แต่นำไปรวมกันในที่หนึ่งเพื่อสะดวกในการขน โดยมีการจดทะเบียนขึ้นคิวอาร์โค้ดทุกถัง” ทวิดากล่าว
นอกจากนี้ ยังระบุว่า จะมีการตรวจสอบสภาพประปาหัวแดง โดยสถานีดับเพลิงที่รับผิดชอบปีละ 2 ครั้ง ซึ่งรอบล่าสุดที่เพิ่งตรวจไปคือเดือนธันวาคม ปี 2566 มีการมาร์กจุด สีส้ม แสดงให้เห็นว่าเป็นหัวที่มีข้อชำรุด และปรับปรุงแก้ไข โดย 258 ประปาหัวแดงที่จะติดตั้งนั้น ด้วยความที่เราติดขัดในเรื่องข้อบัญญัติ จะต้องมีการแก้ไขข้อบัญญัติก่อน โดยระหว่างรอการแก้ไข เราจึงได้ประสานงานไปทางการประปานครหลวง โดยการประปานครหลวงได้เสนอเรื่องนี้ไปที่บอร์ด โดยใน 258 หัวมีอยู่ 44 หัวที่เป็นหัวเร่งด่วน การประปานครหลวงจึงตัดสินใจเป็นผู้ติดตั้งเองทั้งหมดในระหว่างรอการแก้ไขบัญญัติ โดยคาดว่าจะแก้ข้อบัญญัติเสนอต่อสภาภายในเดือนตุลาคม ปี 2567 และจะสามารถติดตั้งภายในปลายปี-ต้นปี 2568
สำหรับการเปลี่ยนเป็นหัวฉีดน้ำดับเพลิงแบบด้ามจับ (หัวฟ็อกซ์) ขณะนี้อยู่ในงบประมาณปี 2568 ในการซื้อเพิ่มสถานีละ 2 หัว ส่วนการที่จะเอาให้ อปพร. สามารถใช้ทรัพยากรได้นั้น ในเบื้องต้น อปพร. สามารถใช้รถกระบะของงานปกครอง และนำหาบหามขึ้นและใช้อุปกรณ์ได้ แต่ในการที่จะให้ อปพร. ใช้อุปกรณ์ได้มากกว่านั้น โดยเฉพาะการมีหัวฟ็อกซ์เป็นของหน่วยงานเอง จะขออนุญาตศึกษาถึงความเหมาะสมและการจัดสรรให้ได้อนาคต
“สุดท้าย ทาง กทม.มีการสำรวจในเรื่องของความเสี่ยงและจัดสรรเป็นความเสี่ยง โดยในงบประมาณปี 2567 มีการซ้อมจำนวน 340 ชุมชน แบ่งเป็นชุมชนอาคารสูง 84 ชุมชน, ชุมชนเมือง 134 และชุมชนแออัด 122 ชุมชน จะทำการฝึกซ้อมและการสำรวจอย่างเร่งรัดและครอบคลุมให้มากขึ้น” ทวิดาปิดจบครบประเด็น
บรรยายใต้ภาพ
แผนที่เสี่ยงอัคคีภัย กรุงเทพมหาคร
กิตติพงศ์ รวยฟูพันธ์
สมชาย เต็มไพบูลย์กุล
ปิยะวรรณ จระกา
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
ทวิดา กมลเวชช
ที่มา: นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 13 ก.ค. 2567 (กรอบบ่าย)