“นายวิพุธ ศรีวะอุไร” สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(ส.ก.)เขตบางรักในฐานะรองประธานสภากรุงเทพมหานครคนที่หนึ่ง จบการศึกษาระดับปริญญาตรีการควบคุมการจราจรทางอากาศสถาบันการบินพลเรือน(เกียรตินิยมเหรียญทอง)เคยเป็นนักบินBoeing777การบินไทยพนักงานบริษัทแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเล
เริ่มก้าวสู่เส้นทางการเมืองตำแหน่งผู้ช่วยดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ปทุมธานี เขต 4) เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎรก่อนตัดสินใจลงสมัคร ส.ก.เขตบางรัก และชนะการเลือกตั้งสมัยแรก
นายวิพุธ หรืออดีตกัปตันไม้เล่าว่าเหตุผลหลักๆ ที่ลงสมัครส.ก.เพราะอยากเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยนำความรู้ ความสามารถและประสบการณ์การทำงานในฐานะนักบินพนักงานแท่นขุดเจาะน้ำมัน ที่มีโอกาสได้เห็นโลกในหลากหลายมุมมอง และความสามารถในการทำงานที่มีความรับผิดชอบที่สูงมากแทบจะไม่มีช่องว่างให้เกิดความผิดพลาดมาปรับใช้ในการทำงานหน้าที่ ส.ก.
ถามถึงความรู้สึกที่ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภา กทม.คนที่หนึ่งส.ก.สมัยแรกนายวิพุธกล่าวว่า ความรู้สึกแรกไม่ใช่แค่ดีใจที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่นี้ แต่กลับรู้สึกว่าได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในหน้าที่ที่มากขึ้น ฟังก์ชันการขับเคลื่อนภารกิจของสภา กทม.กว้างกว่าเดิมไม่ใช่ทำหน้าที่แค่ในสถานะ ส.ก. เท่านั้น และการขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานสภา กทม. ทำให้ผมมี Passion มากขึ้น เพราะงานใหญ่ขึ้นแรงกดดันย่อมมากขึ้นตาม จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผมอยากทำงานให้สำเร็จยิ่งขึ้นตามไปด้วยซึ่งผมรู้สึกสนุกมากกว่าที่จะรู้สึกกดดันครับ
สำหรับหน้าที่รองประธานสภา กทม.คนที่หนึ่งที่ได้รับมอบหมายส่วนใหญ่จะดูเรื่องกฎหมาย เช่น การพิจารณาร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายก่อนเสนอประธานสภา กทม. การพิจารณาร่างข้อบัญญัติที่ฝ่ายบริหารเสนอขอความเห็นชอบจากสภา กทม. การพิจารณาญัตติที่ ส.ก. และฝ่ายบริหารเสนอและการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน เป็นต้น
ถามถึงแนวทางการทำงานต่อจากนี้นายวิพุธกล่าวว่า เนื่องจากสถานะของสภา กทม. เป็นองค์กรนิติบัญญัติ มีหน้าที่ตรวจสอบติดตามการทำงานของฝ่ายบริหาร ฉะนั้นจึงอยากเห็นสภา กทม. มีความโปร่งใสประชาชนทุกคนสามารถติดตามตรวจสอบได้ โดยเน้นการทำงานเป็นทีมไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก เพราะ ส.ก.ทำงานคนเดียวไม่ได้บางครั้งอาจจะมองไม่เห็นถึงปัญหาครบในทุกมุม ทุกคนเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญซึ่งเมื่อต่อเข้าด้วยกัน การทำงานในภาพรวมจะออกมาดีและมีประสิทธิภาพ
ผมตั้งใจว่าในวันแรกที่รับหน้าที่ต้องยกระดับการทำงานให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้และสามารถติดตามกระบวนการ
ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดขั้นตอนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานให้มีความ Productive มากยิ่งขึ้น ส่วนปัญหาการทุจริต เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้ครับ การทำงานตรวจสอบต้องเข้มข้น “วันแรกเข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างไร วันสุดท้ายของวาระ ส.ก. ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ได้มาตรฐานเดิม”
นอกจากนี้ผมอยากเห็นสภา กทม.เป็นมิตรกับประชาชน ทำให้เขาเห็นว่าเราเป็นที่พึ่งของเขาได้ที่สำคัญต้องทำให้ประชาชน
มีส่วนร่วมและเข้าถึงได้ง่ายซึ่งผมกำลังพิจารณาเพิ่มช่องทางการติดต่อที่มากขึ้น การสื่อสารแบบ Two-way communication จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การรับฟังปัญหา เรื่องร้องทุกข์ คำแนะนำต่างๆเพื่อที่จะนำไปลงมือแก้ไข ประชาชนสามารถเข้ามาติดต่อที่สภาฯโดยตรงได้ท่านเลือกพวกเราเข้ามาแล้วอย่าเกรงใจที่จะใช้งานครับ
นายวิพุธย้ำอีกว่า นอกจากสภา กทม. โปร่งใส ต้องมีระบบการจัดเก็บข้อมูล และเผยแพร่เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของสภา กทม. การรายงานความคืบหน้าการพิจารณาร่างข้อบัญญัติ รายงานผลการศึกษาของสภาฯ เรื่องต่างๆ ทำถึงไหน การแก้ไขปัญหาตามญัตติที่ ส.ก. ยื่นต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครการประชุมคณะกรรมการสามัญฯแต่ละคณะ มีการปรับปรุงขั้นตอนระบบราชการการประสานงานทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกการดึงข้อมูลจากภายนอกมาใช้ควรสะดวกและรวดเร็ว ที่ผ่านมาพบปัญหาอุปสรรคเรื่องเวลาและทรัพยากรที่จำกัด ทำให้การแก้ไขปัญหาเกิดความล่าช้า
เคยมีคนพูดว่า “สภา กทม. เป็นสภาที่เงียบที่สุด เหมือนแดนสนธยา” ทั้งที่มีความสำคัญมากๆ ในเรื่องตรากฎหมายตรวจสอบ กำกับดูแลการทำงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และคณะผู้บริหารทั้งสองสิ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะร่วมพัฒนากรุงเทพมหานคร
ปัจจุบันสภา กทม.ไม่เงียบเหมือนเมื่อก่อนมีการเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมการประชุมสภา กทม. หรือรับชมผ่านการ Live ซึ่งมีการถ่ายทอดสดการประชุมในทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ยังสามารถติดตามการประชุมในวาระที่สนใจทางยูทูบ และเพจสภากรุงเทพมหานคร จะได้เห็นบทบาทหน้าที่ของส.ก.ที่เลือกเข้ามานั้น ไม่ได้ทำงานแค่ในพื้นที่เพียงอย่างเดียว ขอเชิญชวนประชาชนเข้ามาดูหรือติดตามตรวจสอบการทำงานของสภา กทม.ซึ่งมั่นใจว่าเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ประชาชนสามารถฝากความหวังและเป็นที่พึ่งได้ครับ
ที่มา: นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 27 มิ.ย. 2567 (กรอบบ่าย)