นับเป็นความสูญเสียที่สร้างความสะเทือนใจอย่างยิ่งต่อคนรักสัตว์ สำหรับกรณีเพลิงไหม้ ตลาดขายสัตว์เลี้ยงศรีสมรัตน์ หรือ ตลาดปลา จตุจักร ที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของตลาดนัดจตุจักร แต่ไม่ใช่ เช่นนั้น
หลังเกิดเหตุ กรุงเทพมหานครก็ขนทัพร่วมกับกรมปศุสัตว์ลงพื้นที่ตรวจสอบเข้มข้น ขีดเส้นเดดไลน์ร้านรวงที่ไม่มีใบอนุญาต ทั้งในส่วนของตลาดปลา และโซนสัตว์เลี้ยงในตลาดนัดจตุจักรให้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ผู้บริหาร ตั้งแต่ระดับผู้ว่าฯ กทม. อย่าง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รุดลงพื้นที่ ตั้งแต่ฝุ่นควันยังไม่จาง
ล่าสุดวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) และองค์กรเครือข่าย จัดเสวนาบูรณาการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนและสัตว์ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน กรณีศึกษา ลิงลพบุรี และกรณีเหตุเพลิงไหม้ ตลาดขายสัตว์เลี้ยงศรีสมรัตน์ ณ โรงแรมแคนทารี เฮ้าส์ รามคำแหง กรุงเทพฯ
โดยในส่วนของตลาดขายสัตว์เลี้ยงศรีสมรัตน์ มีการเชิญผู้แทนจาก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อรับมอบจดหมาย อีกทั้งแถลงความเสียใจต่อสัตว์กว่า 5,000 ชีวิต ที่ถูกไฟคลอกตายอย่างน่าเวทนา
‘ถังดับเพลิง’ ทุกร้านต้องมี! จี้ กทม.เข้ม แนะ ‘รับเลี้ยง’ แทนช้อปสัตว์
บรรยากาศในวงเสวนาเข้มข้นตั้งแต่ต้นจบจบ โดย สุชัญญา แสงสว่างผู้แทนมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม เล่าว่า ได้ลงพื้นที่จริง จึงได้เห็น ข้อบกพร่องหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการไม่มีระบบการป้องกันอัคคีภัย โดยควรบังคับใช้เป็นมาตรการ นอกจากนี้ สถานที่รองรับสัตว์ควรมีมาตรการขึ้นทะเบียน การหมั่นตรวจสอบ ข้อนี้สำคัญมาก เนื่องจากไปเห็นที่พักพิงหลายๆ ที่ คือสถานที่ย้ายสัตว์ไปตาย สภาพสัตว์ก็ไม่ได้รับการดูแล
“อยากให้ กทม.ได้ทำสถานที่รองรับสัตว์เหล่านี้เพิ่ม อีกเรื่องเราต้องรณรงค์ให้ประชาชนไปรับสัตว์มาเลี้ยงแทนการซื้อสัตว์ อยากให้หลายๆ หน่วยงาน อยากให้เป็นภาพรวมภาพให้หลายๆ หน่วยงาน อยากให้ผู้มีชื่อเสียงรณรงค์ให้เป็นระดับประเทศ ให้รับเลี้ยงสัตว์มากกว่าการซื้อสัตว์ มาเลี้ยง” สุชัญญากล่าว
ด้าน กฤตธีรา อินพรวิจิตร หรือ ‘เข็ม ตีสิบ’ กล่าวว่า ตอนไฟไหม้ได้เขียนจดหมายไปหา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. เสนอรัฐบาลต้องมีถังดับเพลิง โดยเสนอไปในนามภาคประชาชน
“เราเฟลกับขบวนการทั้งหมด เวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ ไม่มีใครทำ เราทำตลอดระยะเวลา 10 ปี ใช้ทุนตัวเอง เห็นมาตลอดที่จตุจักร ต่อให้ต้องควบคุมดูแลค้าขาย ในฐานะคนปกติที่เดิน การค้าขายมันร้อน ต้องไปเดินเดือนเมษายน เชื่อว่าหลายคนไม่ได้ไปสำรวจจริงๆ ว่าเดือนเมษายนที่จตุจักรว่าเขาเก็บหมากันอย่างไร ทุกคนรู้ ประชาชนรู้ แต่ภาครัฐไม่รู้ เราไม่เข้าใจ
ที่มาวันนี้ เพราะอยากเข้ามาฟังว่ามีหน่วยงานใดที่จะสามารถซัพพอร์ตเราได้ ประเด็นคือเราจะไม่ต้องการให้มีการค้าขายสัตว์ตรงนั้นอีก เราไม่ต้องการให้เก็บสัตว์ตอนกลางคืน เรามองสัตว์เป็นหลัก
ถ้าเป็นไปได้จะต้องจัดที่ขายสัตว์ ช่วยทำให้เหมือนสมัย พ.ศ.2525 เอาสัตว์มาขาย เอานกมาใส่กรงขาย ตอนเย็นคุณเอากลับไป ต้องมีฟาร์ม ไม่ใช่เพาะขายเองที่บ้าน
ถ้าต้องการความช่วยเหลือหรือต้องการภาคประชาชนช่วยเป็นกระบอกเสียง บอกเลย เรายินดี เราไม่อยากให้เรื่องนี้เงียบหายไป” กฤตธีรากล่าว
เปิดข้อมูล 2,000 ร้านค้าสัตว์ทั่วกรุง ขออนุญาตแค่ 30 แห่ง?
ชัญญา ผาสุพงษ์ กรรมการสมาคมสงเคราะห์สัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ทางสมาคมไม่ได้แค่เสนอเรื่องร้านค้าสัตว์เลี้ยง แต่ยังผลักดันการแก้ปัญหาเรื่อง ‘คาเฟ่แมว’ เมื่อปี 2562 ที่ภาคเหนือ และให้กรมปศุสัตว์สำรวจประเด็นที่ว่า เป็นเรื่องธุรกิจของกิน และก็มีแมวอยู่ในนั้น แต่ปรากฏว่ามีกรณีการดูแลสัตว์ที่ไม่ตรงกับสวัสดิภาพอย่างถูกต้องซึ่งทางสมาคมก็ไปรู้ในตอนนั้นว่ามีข้อกำหนดกิจการอันตรายเกี่ยวกับสุขภาพในธุรกิจที่มีสัตว์อยู่ด้วย
“เท่าที่ทราบ กรุงเทพฯก็มีนโยบายให้คาเฟ่แมวไปขอใบอนุญาตนานแล้ว แต่ผู้ประกอบการไม่รู้ และภาครัฐเองก็ไม่ได้ประชาสัมพันธ์เท่าที่ควร ตอนนั้นปี 2562 ได้ข้อมูลจาก กทม.ว่า คาเฟ่แมวขอใบอนุญาตอย่างถูกต้องเพียง 10 ร้านค้าเท่านั้น และปัจจุบันทั่วกรุงเทพฯ มีร้านค้าสัตว์เลี้ยงกว่า 2,000 แห่ง แต่ขออนุญาตจริงๆ แค่ 30 แห่ง ซึ่งน้อยมาก” ชัญญากล่าว
ส่วนประเด็นเรื่อง การจดทะเบียนร้านค้าสัตว์ ชัญญาย้ำว่า เห็นด้วยแน่นอน
“กทม.ก็มีบทบาทตรงนี้ คาเฟ่แมว ร้านค้าสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงแหล่ง เพาะสัตว์ บ้านพักพิงสัตว์ทั้งหลาย ถ้ามีการจดทะเบียนหรือขออนุญาตอย่างถูกต้องได้จะดีมาก โดยจะให้เขตทำหน้าที่ในการแจ้งว่า ในพื้นที่มีร้านค้าสัตว์หรือคาเฟ่แมวหรือไม่ แล้วก็ไปขออนุญาตให้ถูกต้อง หาก กทม.มีเรื่องของข้อบัญญัติกิจการอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งกรมปศุสัตว์ก็มีอยู่ด้วย และขอให้เขตประชาสัมพันธ์ ให้ร้านค้าสัตว์เลี้ยง หรือฟาร์มเพาะรวมถึงที่พักพิงสัตว์ ไปแจ้งผ่านทางเขตเพื่อขอใบอนุญาตนั้น และให้สำนักงานสัตวแพทย์ ร่วมกรมปศุสัตว์และกรมอุทยานช่วยกันตรวจสอบ และยังมีอีกหลายที่และตามตรอกซอกซอยที่ยังไม่ถูกต้อง
รวมถึงบ้านพักสัตว์ที่อยู่เป็นร้อยตัวและยังไม่ได้รับการตรวจสอบ และสุขภาพสัตว์อ่อนแอ หากว่ามีการทำให้ถูกต้องในวาระเดียวกันในเหตุการณ์นี้ ก็จะสมเหตุสมผลและเป็นประโยชน์ต่อสัตว์ในกรุงเทพฯ นำร่อง และนำไปสู่ต่างจังหวัด
ถ้าไม่มีการขออนุญาตที่ถูกต้อง ก็ไม่มีสิทธิจะค้าขายได้ และถ้าเปิดได้ แต่ตรวจสอบสุขภาพสัตว์แล้วไม่ได้มาตรฐาน มีการทารุณกรรมสัตว์ ก็ต้องมีกฎหมายคุ้มครอง และตอนนี้ก็มีกฎหมายด้านสาธารณสุข กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก” ชัญญากล่าว
Exotic pet ‘สัตว์พิเศษ’ ที่ต้องดูแลสวัสดิภาพ
อีกประเด็นสำคัญที่แม้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีเพลิงไหม้ แต่นับเป็นประเด็นที่เกาะเกี่ยวโยงใย ไม่ควรมองข้าม นั่นคือ Exotic pet
“Exotic pet มีสัตว์หลากหลาย สิ่งที่น่ากลัวคือ สปีชีส์ ถ้าเอาไปทิ้งทำให้ระบบนิเวศจะเสียหายมาก จะดูแลแค่หมาแมวอย่างเดียวไม่ได้ ธุรกิจของสัตว์เลี้ยงไปไกลมากแล้ว สินค้าเลี้ยงก้าวไประดับเอเชียแล้ว เรื่องสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เป็นเรื่องใหญ่ในการปฏิบัติ กทม.เป็นเมืองหลวงไทย ถ้าเมืองหลวงไทยขยับ ลาวก็ขยับ เวียดนามก็ขยับ กัมพูชาก็ขยับ และไทยเรามีกฎหมายป้องกันทารุณกรรมสัตว์ปี 2557 ตอนนี้ 10 ปีแล้ว
“ถ้าเราผลักดันตรงนี้ จะเป็นหมุดหมายที่ดีในการป้องกันสัตว์ หากมีทิศทางออกมาแล้ว จะเสนอต่อท่านผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ผลักดันตรงนี้ เนื่องจากท่านต้องการคนช่วยคิด หรือหาขอบข่ายวิถีให้เกิดแผนปฏิบัติตาม” ชัญญาทิ้งท้าย
นับเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป ว่าหลังเพลิงไหม้ การรุมแก้ปัญหา จะมาแนวสะเก็ดไฟที่ไหม้ฟาง หรือนำไปสู่การแก้ไขแบบยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
อัศวินี ตรีเนตร
กันยา เกิดแก้ว
6 ทางออกร่วม บทเรียนไฟไหม้ตลาดศรีสมรัตน์
มติที่ประชุมกรณีไฟไหม้ตลาดสัตว์เลี้ยงศรี สมรัตน์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โดย สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) และองค์กรเครือข่าย
1.จัดให้มีเครือข่ายเฝ้าระวังติดตาม ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์เพลิงไหม้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยผลการตรวจสอบต่อสาธารณะโดยด่วน และติดตามการดำเนินการพัฒนาปรับปรุง อาคารสถานที่ขายสัตว์เลี้ยง ให้มีมาตรฐาน รวมทั้ง มีมาตรการแผนระงับเหตุป้องกันอัคคีภัยและด้านความปลอดภัยอื่นๆ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้งหมด
2.สนับสนุนองค์ความรู้ทางวิชาการด้านการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ในการจัดทำคู่มือแนวทางการปฏิบัติมาตรฐาน ตามข้อบัญญัติ กรุงเทพมหานคร เรื่องกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ.2561 และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการขออนุญาตเปิดร้านประกอบกิจการค้าสัตว์ หรือกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์เลี้ยง
3.สนับสนุนการจัดฝึกอบรมให้ความรู้ด้านนิติวิทยาศาสตร์ กรณีสัตว์ประสบภัยพิบัติ อัคคีภัย แก่หน่วยงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เวลาเข้าไประงับเหตุ
4.จัดอบรมให้ความรู้ การช่วยเหลือฉุกเฉิน กรณีสัตว์ประสบภัยพิบัติ อัคคีภัย
5.ร่วมเป็นเครือข่าย สนับสนุนเฝ้าระวัง ติดตามบังคับใช้ พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557
6.ขอให้กรมปศุสัตว์ มีการศึกษาข้อดีและผลกระทบ ที่เกี่ยวข้องกับการขอใบอนุญาตของสถานเพาะพันธุ์สุนัขแมวและสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เพื่อออกข้อกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีการขอใบขออนุญาตสถานเพาะพันธุ์เพื่อจะได้ กำหนดการเริ่มต้นหรือการเพิกถอน มาตรการการลงโทษ การสิ้นสุดของใบอนุญาตได้นั้น ซึ่งจะเป็นผลดีในระยะยาวของการกำกับ ติดตามดูแล ซึ่งจะเป็นการช่วยพัฒนาสถานประกอบการให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานสากล ลดปัญหาการทารุณกรรม สัตว์
และที่สำคัญลดปัญหาการทิ้งสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควรที่ต้นทางได้ระดับหนึ่งอีกด้วย
บรรยายใต้ภาพ
(จากซ้าย) กฤตธีรา อินพรวิจิตร หรือเข็มตีสิบ มาในนามภาคประชาชน และสุชัญญา แสงสว่าง ผู้แทนมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม
ชัญญา ผาสุพงษ์ กรรมการสมาคมสงเคราะห์สัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
(ภาพจาก นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย)
ที่มา: นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 22 มิ.ย. 2567 (กรอบบ่าย)