‘ชัชชาติ’ไลฟ์สดยกมือไหว้ขอโทษ ปชช. ยอมรับปมซื้อเครื่องออกกำลังกายมีมูล จัดซื้อจัดจ้างแพงกว่าปกติ
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน กรณีชมรม STRONG ต้านทุจริตประเทศไทย โพสต์ข้อความเรื่อง กทม.จัดซื้อเครื่องออกกำลังกายเครื่องละ 4 แสน พบความผิดปกติในการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ภายในศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ และศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ เกือบ 10 ล้านบาท ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ที่ต่อมา นายชัชชาติสั่งตรวจสอบในโครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของ กทม. พบความผิดปกติมีราคาสูงในจำนวน 7 โครงการ โดยเปิดให้มีการแข่งขันราคาด้วยวิธี e-bidding แต่ทั้ง 7 โครงการมีผู้เข้าเสนอราคาเพียง 2 รายเท่านั้น และมี 4 โครงการที่พบรายชื่อบริษัทเอกชน 1 ราย เสนอราคาเท่ากับราคากลาง เป็นการจัดซื้อโดยกองสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว ที่นายสมบูรณ์ หอมนาน เป็นรองปลัดกรุงเทพมหานคร รับผิดชอบ ต่อมาถูกนางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร มีคำสั่ง ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม และให้นายณัฐพงศ์ ดิษยบุตร รองปลัด กทม. ปฏิบัติหน้าที่ดูแลสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวแทน ตำแหน่งเดิมที่นายสมบูรณ์รับผิดชอบนั้น
โดยเมื่อเวลา 12.00 น. ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวผ่านไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กรณีนี้ว่า ช่วงนี้หายหน้าไปเพราะมัวแต่ยุ่งกับลู่วิ่ง สรุปแล้วเร่งนัดในการตรวจสอบ มีข้อสรุปจากคณะตรวจสอบพบว่ามีมูล ให้ปลัด กทม.สอบสวนดำเนินการสอบสวนทุกโครงการแล้ว ต้องขอโทษสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จะปรับปรุงให้ดีขึ้น หาผู้กระทำความผิด คงไม่ทำเฉพาะเคสนี้ จะมีการขยายผล ต้องเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่ให้ดูให้หมด เป็นเรื่องสำคัญ ต้องเอาให้ถึงที่สุด จะทำให้เร็ว เป็นเรื่องที่ติดใจของทุกคน
“ผมขอโทษและผมต้องรับผิดชอบ ในเรื่องนี้ดำเนินการอยู่ น้อมรับทุกอย่าง สิ่งที่จัดซื้อจัดจ้างมีการกระจายการดูแล ต้องขอบคุณชมรม STRONG และประชาชน ที่ช่วยกัน บางทีมั่นใจคนมากเกินไป ถ้าเกิดต้องรีบดำเนินการ มีอะไรให้แจ้ง เพราะทุกคนคือเจ้านายของผม” นายชัชชาติกล่าว และได้ยกมือไหว้ผ่านไลฟ์สด
ต่อมา ที่ถนนราชดำเนินกลาง เขตพระนคร นายชัชชาติ พร้อมด้วยนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานโครงการสำคัญของ กทม.
นายชัชชาติให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งถึงกรณีการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายสำหรับศูนย์กีฬา มีประเด็นข้อบกพร่องและมีมูลที่ส่อการทุจริต ยืนยันว่า หากพบว่าผิดจะต้องว่าไปตามกฎหมาย ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างก็มีระเบียบปฏิบัติกำกับอยู่ ต้องมาดูว่าช่องโหว่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด ต้องมาวิเคราะห์ว่าระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ในส่วนของการเสนอราคา การสืบราคาที่มีความแตกต่างกัน จึงต้องตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งไม่สามารถที่จะไปชี้นำได้จะทำให้รูปคดีเสีย แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าทาง กทม.จะไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน
ด้านนายเกรียงกล่าวเสริมว่า การจัดซื้ออุปกรณ์กีฬามีปัญหาที่เกิดขึ้นกับ อปท.ทั่วประเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะ กทม.เท่านั้น อยากให้ กทม.เป็นกรณีตัวอย่างเพื่อนำไปใช้กับพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของการกำหนดมาตรฐานราคากลางของอุปกรณ์กีฬาที่กรมบัญชีกลางจะต้องกำหนดราคากลางให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ถ้าไม่มีราคากลางกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ต้องให้มีการสอบราคา ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการก็ฮั้วกัน ทำให้ราคากลางสูง
“พอทำหนังสือเชิญหน่วยงานภายนอกตรวจสอบ มาร่วมเป็นคณะกรรมการกำหนดราคากลาง เขาก็ไม่มา แต่ถึงเวลาเข้ามาตรวจสอบ อปท.ยุ่งกันทั้งประเทศ อยากขอให้หน่วยงานตรวจสอบเข้ามาเป็นคณะกรรมการร่วม และมาตรฐานราคากลางจะต้องเกิด เพราะไม่อย่างนั้นทุกปีงบประมาณจะมีปัญหาเรื่องราคากลาง และเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการด้วย” นายเกรียงกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีเพจเฟซบุ๊ก คิด ทำ ทิ้ง โพสต์ว่าพบเห็นรถบัสของ กทม.โดยกองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (สวท.) เป็นผู้จัดซื้อ จอดไว้ข้างสระน้ำบริเวณศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ไทยญี่ปุ่น (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง) จำนวน 6 คัน ไม่ได้มีการใช้งาน
นายชัชชาติกล่าวว่า ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว โดยจะตรวจสอบว่าโครงการนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ใช้งานอย่างไร เบื้องต้นมีการจัดซื้อรสบัสตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งรถบัสดังกล่าวได้ใช้งานบ้างแต่ไม่บ่อยนัก ต้องกลับไปดูรายละเอียดอีกครั้ง กทม.มีรถจำนวนมาก ทั้งรถส่งพนักงาน รถตู้ ดังนั้นจะพยายามใช้งานรถให้มีประสิทธิภาพ หากไม่ได้ใช้งานก็เปลี่ยนรูปแบบ หรือไม่มีการซื้อรถเพิ่ม
“เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะช่วยกันตรวจสอบ ในเรื่องต่างๆ ทาง กทม.เองจะต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เช่นเดียวกับกรณีอุปกรณ์ออกกำลังกาย ที่ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบอย่างรวดเร็ว และมีข้อมูลที่ชัดเจน ทาง กทม.พร้อมให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาตรวจสอบและพยายามที่จะแก้ปัญหาในเชิงระบบให้เป็นการแก้ปัญหาที่ยืนยาว และไม่ใช่เพียงเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว แต่การมีส่วนร่วมในการเข้ามาตรวจสอบของประชาชน ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี” นายชัชชาติกล่าว
นายชัชชาติกล่าวว่า ขณะเดียวกันเรื่องที่เกิดขึ้นทางฝ่ายบริหารไม่ได้มีความกังวล เพราะไม่ได้มีความไม่โปร่งใส หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ และหากมีเรื่องเกิดขึ้นก็พร้อมดำเนินการอย่างเข้มงวด และรวดเร็ว
เมื่อถามว่ากรณีเครื่องออกกำลังกายที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า หากมีการตรวจสอบและพบว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นในส่วนของส่วนต่างราคา จะมีการรับผิดชอบอย่างไร
นายชัชชาติกล่าวว่า ต้องว่าไปตามกฎหมาย เพราะเรื่องนี้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้าง ก็มีระเบียบปฏิบัติกำกับอยู่ แต่ต้องมาดูว่าช่องโหว่ ที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด โดยจะต้องมาวิเคราะห์ว่าระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ในส่วนของการเสนอราคา การสืบราคา ที่มีความแตกต่างกัน จึงต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งไม่สามารถที่จะไปชี้นำได้ เพราะจะทำให้รูปคดีเสีย หรือส่งผลต่อการดำเนินการต่างๆ ได้ แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าทาง กทม.จะไม่นิ่งเฉยต่อเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมผู้บริหารไม่ดูแลการจัดซื้อจัดจ้างทุกโครงการที่มี นายชัชชาติกล่าวว่า เป็นเรื่องของการกระจายอำนาจ โดยโครงการที่มีมูลค่าเกิน 200 ล้านบาท ทางด้านรองผู้ว่าฯกทม.จะเป็นผู้ดูแล หากโครงการมีมูลค่าน้อยลดหลั่นลงไป ก็จะเป็นการกระจายอำนาจ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และรวดเร็วมากขึ้น ตามรูปแบบทั่วไปของการกระจายอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้าง
“เรามั่นใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ที่ตัวคน ระบบที่วางไว้ดี แต่คนมีปัญหาก็เกิดช่องโหว่ต่างๆ ได้ ต้องพยายามศึกษาภาพรวมที่จะสามารถอุดช่องโหว่ได้ ถ้าเกิดปัญหาอยู่ที่คน ก็จะเอาคนที่ดีเข้าไปทำงาน และปิดช่องโหว่ควบคู่กันไป” นายชัชชาติกล่าว
ส่วนกรณีมีหนังสือคำสั่งปรับเปลี่ยนหน่วยงานที่กำกับดูแลของรองปลัด กทม. นายชัชชาติกล่าวว่า การปรับเปลี่ยนหน่วยงานเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่าการสอบสวนต่างๆ จะเป็นไปอย่างโปร่งใส และไม่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข้อมูล โดยเรื่องที่เกิดขึ้นตนมีความไม่สบายใจ เป็นเรื่องของความไว้วางใจ หากประชาชนไม่มีความไว้วางใจตนก็ไม่สามารถอยู่ได้ ดังนั้น ความไว้วางใจจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในการทำงาน เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
“การปรับเปลี่ยนหน่วยงาน เพื่อให้ผู้ให้ข้อมูลมีความสบายใจ และไม่มีเหตุเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องต่างๆ รวมถึงหลังจากนี้ ก็จะมีการปรับเปลี่ยนในจุดอื่นอีก เพื่อให้เกิดความมั่นใจ สุดท้ายต้องเข้าสู่กระบวนการสืบสวนสอบสวนต่อไป
เรายังไม่ได้บอกว่าใครผิดไม่ผิดอย่างไร ซึ่งผมไม่สามารถพูดได้ เพราะไม่ได้อยู่ในกระบวนการดังกล่าว และจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่หากมีเรื่องที่น่าสงสัยก็จะต้องรีบดำเนินการ” นายชัชชาติกล่าว
ส่วนกรณีที่มีการสั่งชะลอการเบิกจ่ายค่าอุปกรณ์กีฬานั้น นายชัชชาติกล่าวว่า ต้องมีการชะลอตามกรอบกฎหมายที่มี เนื่องจากเกิดข้อสงสัยขึ้นหากมีการจัดซื้อจัดจ้างต่อก็อาจจะสร้างปัญหาต่อเนื่องได้ จึงได้สั่งการให้ปลัด กทม.เข้าไปดูแลว่าจุดไหนที่จะสามารถชะลอการเบิกจ่ายค่าอุปกรณ์กีฬาได้ โดยที่รัฐไม่เกิดความเสียหาย เพราะหากมีข้อชัดเจนว่าไม่โปร่งใส ก็จะเป็นเหตุผลในการชะลอการจ่ายเงิน แต่จะต้องไปดูระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วยโดยได้สั่งการให้ชะลอทุกโครงการที่มีปัญหา
ที่มา: นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 9 มิ.ย. 2567