รองผู้ว่าฯกทม.ชี้เดินเรือในคลองผดุงฯขาดทุน ค่าใช้จ่ายสูงเดือนละ 2.4 ล้าน ขนาดตีตั๋วฟรียังมีคนขึ้นวันละแค่ 400 คน เล็งอาจดึงเอกชนเดินเรือ หรืออาจดำเนินการเองต่อ
เมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ศาลาว่าการกรุงเทพ มหานคร 2 (ดินแดง) นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รอง ผู้ว่าฯกทม. แถลงข่าวการเดินเรือในคลองผดุงกรุงเกษม เขตพระนคร และการนำสายสื่อสารลงดินและจัดระเบียบสายสื่อสาร สำหรับการเดินเรือในคลองผดุงกรุงเกษม ดำเนินการมาตั้งแต่กลางปี 2563 ในสัญญาแรกจบเมื่อกันยายนปี 2565 ใช้วงเงินงบประมาณ 106 ล้านบาท และเดินเรือไฟฟ้าทั้งหมด 8 ลำ บนท่าเรือ 11 ท่า ประเด็นคือ กทม.หยุดบริการไปเมื่อเดือนสิงหาคม-กันยายนปีที่แล้ว เนื่องจากมีการพร่องน้ำในคลองผดุงฯเพื่อรองรับเรื่องที่ฝนตกลงมาและรองรับการระบายน้ำ
“อยากให้เห็นข้อมูลว่าจำนวนผู้โดยสารตั้งแต่เปิดกลางปี 2563 ก็ไม่เกิน 5,000 คน ในปลายปี 2562 จะมีผู้ใช้บริการสูงหน่อย เพราะช่วงดังกล่าวมีการจัดร้านค้าในคลองผดุงฯ ทำให้ยอดผู้โดยสารสูงขึ้นมาถึง 20,000 คนต่อเดือน แต่จากนั้นช่วงโควิดก็กลับลดลงมา หลังโควิดคลี่คลายลงแล้วในปี 2565 ที่ผ่านมา ผู้โดยสารค่อนข้างคงที่ ประมาณ 400-500 คน เดือนละประมาณ 14,000 คน” นายวิศณุกล่าว
นายวิศณุกล่าวต่อว่า เมื่อเทียบ 14,000 คน กับค่าจ้าง 1 เดือน เดือนละ 2.4 ล้านบาท หารดูแล้วก็ตก 171 บาทต่อคน จึงคิดต่อว่า ถ้าจะจ้างรูปแบบเดิมต่อไปเสียค่าจ้างเดือนละ 2.4 ล้านบาท ไม่รวมค่าซ่อมบำรุงเรือโดยสารคุ้มหรือไม่ หรือมีทางเลือกอื่นหรือไม่ ความจริงเรามีการเตรียมงบประมาณปี 2566 ไว้แล้ว คือตั้งงบแบบเดิม แต่การจ้าง 5 ปี วงเงิน 140 ล้านบาท มาจากค่าจ้างเดือนละ 2.4 ล้านบาท ไปเรื่อยๆ รวมกับค่าบำรุงรักษาอีกเล็กน้อย ฉะนั้น ในแผนคือจะมีการประกวดราคาเพื่อหาผู้รับจ้างเดินเรือประมาณเดือนเมษายนนี้ แต่ถามว่าช่วงเดือนตุลาคมจนถึงปัจจุบันทำอะไร ก็คือการทบทวนดูว่ารูปแบบการให้บริการพี่น้องประชาชนในเส้นทางนี้ควรจะทำแบบไหน เช่น อาจจะมีฟีดเดอร์เข้ามาไหม ใช้รถบัสพลังงานไฟฟ้าได้ไหม เพราะดูในลักษณะประเภทผู้โดยสาร ลักษณะการใช้คือช่วงเช้า 180 คน ช่วงเย็นอีก 220 คน โดยประมาณ จะมีช่วงพีค 06.30-08.00 น. ช่วงเข้าทำงานและเลิกงาน เพราะฉะนั้น พฤติกรรมแบบนี้ใช้รถบัสก็อาจได้ราคาที่ถูกกว่า แต่ยังไม่ปิดช่อง ต้องดูรูปแบบการเดินเรือไปให้บริการนักท่องเที่ยว เป็นแท็กซี่เรียกตามอุปสงค์ แทนที่จะวิ่งเรือเปล่าไปเรื่อยๆ ก็สูญเสียพลังงานและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ทั้งหมดนี้ไม่ได้ยุติโครงการ เพียงแต่ว่ากลับมา ทบทวนรูปแบบการให้บริการที่คุ้มค่าและใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รองผู้ว่าฯกทม.กล่าวอีกว่า วันนี้เราเดินคู่ขนาน 3 ทาง ทางเลือกที่ 1 คือ ฟีดเดอร์รูปแบบอื่นว่าเทียบแล้วเป็นอย่างไรต้องดูความเป็นไปได้ ดูว่าเส้นทางเป็นอย่างไร ดูพฤติกรรม ทางเลือกที่ 2 คือการเปิดให้เอกชนที่สนใจมาเดินเรือในคลองผดุงฯ ทางเลือกที่ 3 คือกลับเป็นรูปแบบเดิม ถ้าไม่มีใครสนใจก็อาจดำเนินการต่อ
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า หมายความว่าหลังจากนี้จนถึงเมษายนนี้จะไม่มีการเดินเรือใช่หรือไม่ นายวิศณุระบุว่า คิดอยู่ว่าจะจัดเรือที่ไหนได้ อาจจะจ้างชั่วคราว พอดีเป็นเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างด้วย กำลังให้ศึกษาอยู่ว่างบประมาณที่เตรียมไว้ 140 ล้านบาท เวลา 5 ปี สามารถแบ่งส่วนหนึ่งมาจ้างชั่วคราวได้หรือไม่ เพื่อช่วยคนเดินทางเส้นนี้เป็นประจำ
ผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนเรื่องการเปิดประมูลเดินเรือว่าจะเปิดอีกครั้งเมื่อไหร่ นายวิศณุกล่าวว่า ไม่เกินภายในเดือนมกราคมนี้ เพราะถ้าจะมีการประกวดราคากับผู้ประกอบการเดือนเมษายน กระบวนการวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ต้องใช้เวลา 2-3 เดือน อีกปัจจัยหนึ่งคือเรือใช้มา 3 ปีแล้ว แบตเตอรี่ก็ค่อนข้างเสื่อม จึงต้องมีการเปลี่ยนแบต
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีแผนการเก็บค่าโดยสารหรือไม่ หรือเป็นการให้บริการฟรี นายวิศณุกล่าวว่า ให้บริการฟรีอยู่เพราะว่าระบบการจัดเก็บค่าโดยสารยังไม่คุ้มทุน จะหารูปแบบการจัดเก็บที่เหมาะสม
“ขนาดให้ขึ้นฟรียังมีคนใช้แค่ 400 คนต่อวัน นำ 2.4 ล้าน หาร 30 ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายวันละ 8 หมื่นบาท วันนี้คนโดยสาร 400 คน เก็บคนละ 10 บาท ได้ 4,000 บาท อย่างไรก็ไม่มีทางคุ้ม ต้องจัดหารูปแบบการให้บริการที่พอเป็นไปได้” นายวิศณุกล่าว
รองผู้ว่าฯกทม.ยังกล่าวเรื่องการนำสายสื่อสารลงดินและจัดระเบียบสายสื่อสาร โดย กทม.มอบหมายให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) ดำเนินการ โดยมาตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันก็สอบถามข้อมูล เคทีได้ก่อสร้างท่อสายสื่อสารลงไป 9.9 กม. ปัญหาคือ โครงการนี้มีแต่รายจ่าย แต่ยังไม่เกิดรายได้ คอนเซ็ปต์เดิมคือกรุงเทพธนาคมก่อสร้างท่อลงใต้ดิน คาดหวังว่าผู้ให้บริการทั้งหลาย จะเอาสายมาเช่าท่อร้อยสายตรงนี้ จน 4 ปีที่ผ่านมา 9.9 กม.ที่ผ่านไป ไม่มีผู้ดำเนินการรายไหนมาใช้บริการ แปลว่าสูญเงินเปล่า ถามว่าผู้ดำเนินการไปเช่าท่อก็มีท่อของรายอื่นให้บริการอยู่ เช่น ของบริษัท โทรคมนาคม แห่งชาติ จำกัด หรือ NT
“ที่เคทีทำไปมีการจ้างค่าก่อสร้างไป 118 ล้านบาท ไม่รวมค่าที่สูญเสียไปแล้ว เป็นเรื่องตรงไปตรงมาว่าไม่ได้ยกเลิกตัวรูปแบบธุรกิจที่เคทีทำมันเดินด้วยตัวเองไม่ได้ มันดำเนินการต่อไม่ได้” นายวิศณุกล่าว
นายวิศณุกล่าวต่อว่า เมื่อปี 2563 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งข้อสังเกต มีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันทุจริต เมื่อ กทม.มาดูก็เห็นด้วยกับที่ ป.ป.ช.ได้ตั้งข้อสังเกตท้วงติงไว้ จึงมีการทบทวนโครงการนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องโครงการนำสายสื่อสารลงดินจะดำเนินงานอย่างไรต่อไป นายวิศณุกล่าวว่า สายสื่อสารจะมีอยู่ 2 ส่วนคือ 1.การนำสายสื่อสารลงใต้ดิน 2.การจัดระเบียบสายสื่อสาร การตัดสายตายและลดจำนวนสายที่พาดให้น้อยลง อาจเพิ่มขนาดของสายแต่ลดจำนวนและตัดสายออก
“มี 2 โครงการที่ดำเนินการ โครงการแรก การนำสายสื่อสารลงดินตรงนี้หลักๆ จะมี 2 หน่วยงาน คือการไฟฟ้านครหลวง และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จะนำสายสื่อสารลงดินได้ก็ต้องให้การไฟฟ้าเอาสายลงใต้ดิน และโครงการเราก็จะเดินคู่ขนานไปกับโครงการที่การไฟฟ้านำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน ซึ่ง กฟน.ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 62 กม. แล้วจะมีแผนทำไปเรื่อยๆ จนถึงปี 2570 เป้าหมายทั้งหมด 236 กม. ตรงนี้ถ้า กฟน.นำสายไฟฟ้าลงดินแล้ว รื้อถอนเสาไฟฟ้าออกก็จะนำสายสื่อสารลงใต้ดินทั้งหมด เป้าหมาย 236 กม. ในปี 2570 ขณะเดียวกันเรื่องการจัดระเบียบสายสื่อสารก็ร่วมกับทาง กสทช.และ กฟน.คือ กสทช.ก็มีแผนที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 161 กม. ใน 37 เส้นทาง และปีนี้ 2566 ก็จะดำเนินการต่ออีก 422 กม. โดยเป้าหมายของเราก็จะจัดระเบียบให้ครบ 1,000 กม.” รองผู้ว่าฯกทม.ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากโครงการทำท่อร้อยสายของเคทียังไม่มีใครมาใช้ และโครงการต้องระงับไว้ไม่ก่อสร้างต่อ ส่วนที่ก่อสร้างไปแล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายวิศณุกล่าวว่า ให้เคทีเป็นคนตอบ ที่จริงไม่นิ่งนอนใจและพยายามไปทบทวนช่วยหาลูกค้าให้ แต่ลูกค้าเหล่านั้นเดินสายไปแล้วไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาเดินสายซ้ำอีกครั้ง เป็นบทเรียน บทเรียนราคาแพงเหมือนกัน ว่าการที่จะทำอะไรต้องดูความเป็นไปได้ คือไม่ใช่เอาเงินไปจ่ายก่อนอย่างเดียว แล้วรายรับก็ไม่มี
ที่มา: นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 5 ม.ค. 2566