สสส. – โคแฟค – กทม. สานพลัง เปิดเวทีตรวจสอบข่าวลวงโลก กระตุ้นคนไทยรู้เท่าทันสื่อ

ในยุคที่ข้อมูลจำนวนมากถูกผลิตและส่งต่อถึงกันอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ข้อมูลที่แชร์ออกไปนั้นอาจมีทั้งจริง และไม่จริง ซึ่งบางครั้งก็ยากที่จะตรวจสอบหรือค้นหาต้นตอ จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่เพียงแต่สร้างการเข้าใจผิด หรือสร้างความตื่นตระหนกเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความเกลียดชังในสังคม รวมถึงสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง ทรัพย์สินและชีวิตของผู้ที่ถูกพาดพิงและผู้ที่หลงเชื่อข่าวปลอม เหล่านี้ด้วย

ดังนั้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงร่วมกับ ภาคีโคแฟค ประเทศไทย และ กรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดงานสัมมนาระดับชาติเนื่องในโอกาสวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact – Checking Day 2024) ภายใต้หัวข้อ ‘Cheapfakes สู่ Deepfakes : เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน’ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 โดยมุ่งหวังที่จะกระตุ้นให้คนในสังคม ตื่นตัว ตรวจสอบข้อมูลบนโลกออนไลน์ก่อนส่งต่อ และเข้าใจอันตรายที่เกิดขึ้นจากข่าวลวง

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส.เปิดข้อมูลว่า จากรายงานประจำปี 2566 ของ ฮูสคอลล์ (Whoscall) แพลตฟอร์มระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จักและป้องกันสแปม พบว่า ปี 2566 คนไทยโดนหลอกจากสายโทรเข้าและส่งข้อความหลอกลวงกว่า 79 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มี 66.7 ล้านครั้ง คิดเป็นเพิ่มขึ้น 18% โดยเฉลี่ยคนไทย 1 คน ได้รับเอสเอ็มเอส หลอกลวง 20.3 ข้อความ ถือว่าคนไทยถูกหลอกลวงมากเป็น อันดับ 1 ของเอเชีย รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง

โดย สสส. วางเป้าหมายพัฒนานิเวศสื่อสุขภาวะที่ส่งผลต่อ ค่านิยมและพฤติกรรมการใช้สื่อเพื่อสุขภาวะ เสริมทักษะรู้เท่าทันสื่อ และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดสื่อสุขภาวะและปกป้อง ผู้ใช้สื่อออนไลน์ทุกช่วงวัย

“จากผลการดำเนินงานของโคแฟค ประเทศไทย ที่ สสส. ร่วมผลักดันสนับสนุนให้โคแฟคเป็นพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงบนสื่อออนไลน์ ตั้งแต่ปี 2563 – 2567 โคแฟค ได้บริการตรวจสอบ ข่าวลวง 7,672 บทความ ช่วยปกป้องคนไทยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพผ่านการอบรมตรวจสอบข้อมูลกว่า 5,000 คน

“สสส. มุ่งหวังให้ทุกคนเป็นพลเมืองเท่าทันสื่อ มีความ สามารถในการตรวจสอบข่าวได้ด้วยตนเอง จนมีส่วนร่วมในการ เฝ้าระวังตรวจสอบข้อมูล และเปิดพื้นที่ให้ทุกคนมาช่วยกัน ตรวจสอบข่าวลวงได้ โดยเชื่อว่า Everyone is a fact checker” นพ.พงศ์เทพ เผย

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เสริมว่า เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทช่วยให้การใช้ชีวิต ของคนในปัจจุบันสะดวก รวดเร็ว และง่ายขึ้น ไม่ว่าจะด้านการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการ ทุกคนสามารถเป็นผู้ผลิตและเผยแพร่ข้อมูลบนโลกออนไลน์ได้ง่ายๆ แต่ความเสี่ยงต่อการถูกหลอก สร้างความเข้าใจผิด ความเกลียดชัง ถูกหลอกให้ลงทุนและโอนเงินออกจากบัญชี ก็เกิดขึ้นให้เห็นทุกวัน

“กทม. ให้ความสำคัญการป้องกันภัยคุกคามจากออนไลน์ ทุกรูปแบบ จึงร่วมกับ สสส. เร่งสร้างการรับรู้ภัยอันตรายที่เกิดจากข่าวลวง ข่าวปลอม ซึ่งเครือข่ายโคแฟค ประเทศไทย จะเป็น เครื่องมือสำคัญที่ให้คนในสังคมได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวหลอกลวง ที่เกิดขึ้นร่วมกัน และขยายผลความรู้ความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนเตรียมรับมือได้อย่างเท่าทัน” ผู้ว่าฯ กทม. เน้นย้ำ

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) เพิ่มเติมอีกว่า คนไทยถูกมิจฉาชีพใช้ชีพเฟค หลอกลวงมากกว่าดีฟเฟค สอดคล้องกับสถิติศูนย์บริหารการ รับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 15 มีนาคม 2567 มีประชาชนแจ้งความออนไลน์มากกว่า 400,000 คดี โดยการหลอกลวง 3 ประเภทที่พบสูงสุด ได้แก่ 1. ถูกหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) 2. หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน และ 3. หลอกให้กู้เงิน

“ปีนี้ โคแฟคจึงบูรณาการภาครัฐและเอกชนอบรมสร้างทักษะการตรวจสอบข้อมูลในยุคเอไอทั่วประเทศ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 2,500 คน และสร้างคอนเทนต์ในอินฟลูเอนเซอร์สายตรวจสอบข่าว พัฒนาให้เกิดศูนย์ตรวจสอบข่าวลวงภูมิภาคกว่า 7 แห่ง อาทิ อีสานโคแฟค มหาวิทยาลัยบูรพา สามจังหวัดชายแดนใต้ รวมถึง เราจะเปิดรับภาคีใหม่มาทำกิจกรรมตรวจสอบข่าวและสร้างพลเมืองทุกคนให้เป็น fact – checker ต่อไป

“ท้ายที่สุดขอชวนประชาชนทุกคนฝึกตรวจสอบข่าวเช็กให้ชัวร์ก่อนเผยแพร่ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ โดยเฉพาะในยุคปัญญาประดิษฐ์ เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง สามารถเข้าใช้งานได้ที่เว็บไซต์ cofact.org” แม่ทัพโคแฟค เชิญชวน

ขณะที่ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดถึง ภาพรวมการตรวจสอบข้อมูลลวงในรอบปี 2566 ว่า แม้จะมีข่าวลวงหรือข่าวปลอมเกิดขึ้นหลายเรื่อง แต่ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อสังคมค่อนข้างมากคือข่าวปลอมที่ทำให้ผู้หลงเชื่อสูญเสียทรัพย์สิน คือ ไม่ใช่หลอกลวงคนอื่นเอาฮาเอาสนุก เช่น การแอบอ้างชื่อบริษัทใหญ่ๆ มีชื่อเสียง ชักชวนให้ลงทุน

“ที่น่าห่วงคือตัวแพลตฟอร์มอย่างเฟซบุ๊ก ไม่ได้ช่วยเอาข้อมูลพวกนี้ออก แต่กลับกลายเป็นว่าช่วยสนับสนุนคนพวกนี้ด้วย ซึ่งจะเป็นโพสต์ที่มีสปอนเซอร์หมดเลย เมื่อเรากด report (รายงาน) หรือทำอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ออกไป อันนี้เป็นสถานการณ์ที่น่าห่วงในช่วงรอบปีที่ผ่านมา เรื่องตัวแพลตฟอร์มเองก็ทำให้เราเจอข่าวปลอม” รศ.ดร.เจษฎา บอก

อย่างไรก็ตาม สสส. และภาคีเครือข่าย มุ่งหวังที่จะสร้างความเข้าใจต่อสาธารณะในประเด็นการตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ด้วยเครื่องมือดิจิทัล รวมถึงประเด็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ และรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึง การตรวจสอบข้อมูล เพื่อนำไปสู่การสร้างสังคมสุขภาวะให้ ยั่งยืนต่อไป

 

บรรยายใต้ภาพ

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์

ชัชชาติ สิทธิพันธ์

สุภิญญา กลางณรงค์

 



ที่มา:  นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 15 เม.ย. 2567

แชร์ข่าว:
กรุงเทพฯ มีอะไร อัพเดทข่าวสารฉับไว กิจกรรมที่น่าสนใจ และมีส่วนร่วมได้ รวมไว้ให้ที่นี่

©2022 สงวนลิขสิทธิ์ กรุงเทพมหานคร

สำนักงานประชาสัมพันธ์ สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร 173 ถนนดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กทม. 10200