นายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. และโฆษก กทม. เปิดเผยความคืบหน้าการขยายเวลารับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงร่างประกาศ กทม. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะ พ.ศ. 2566 ทางออนไลน์ ไปจนถึงสิ้นเดือน ก.พ.67 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในสิ้นเดือน ม.ค. 67 โดยประชาชนสามารถเข้าไปแสดงความเห็นผ่าน http://law.go.th/listening Detail?survey_id=MzIxM0RHQV9 MQVdfRlJPTlRFTkQ ขณะเดียวกัน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ยังจัดทำประชาพิจารณ์ด้วยการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาชิกสภา กทม. ผู้ค้าจุดผ่อนผันและนอกจุดผ่อนผันในพื้นที่ 50 เขต และประชาชน ระดมความเห็นเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่สะท้อนความเห็นจากทุกภาคส่วนไปปรับปรุง
สำหรับร่างดังกล่าวมีสาระสำคัญ อาทิ กำหนดพื้นที่ทำการค้า, การจัดผัง การค้า, รูปแบบลักษณะแผงและสิ่งประกอบ, คุณสมบัติผู้ทำการค้าและผู้ช่วยจำหน่าย, เงื่อนไขการทำการค้า, มาตรการควบคุม และข้อกำหนดให้การทำการค้าสิ้นสุด
ยกตัวอย่าง กรณีเกณฑ์พิจารณากำหนดพื้นที่ทำการค้า ต้องมีช่องจราจร และพื้นที่ว่างให้สัญจรได้สะดวกปลอดภัย ถนนที่มีช่องทางจราจรตั้งแต่ 3 ช่องขึ้นไป เมื่อจัดวางแผงต้องมีที่ว่างให้สัญจรได้ไม่น้อยกว่า 2 เมตร และสำนักงานเขตจะต้องทบทวนความเหมาะสมพื้นที่ทุก 2 ปี ส่วนถนนที่มีช่องจราจรน้อยกว่า 3 ช่อง เมื่อจัดวางแผงต้องมีที่ว่างให้สัญจรได้ไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร และให้ทบทวนทุก 1 ปี
ขณะที่คุณสมบัติผู้ทำการค้าและผู้ช่วยจำหน่ายต้องมีสัญชาติไทย, เป็นบุคคลซึ่งมีคุณลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่ง ณ วันลงทะเบียน ได้แก่ 1.เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2.เป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติในโครงการบ้านมั่นคง และยังมีภาระ ผูกพัน 3.เป็นบุคคลที่ได้รับเงินสวัสดิการจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 4.เป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 180,000 บาทต่อปี
ด้านเงื่อนไขทำการค้า ผู้ค้าต้องยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อกรมสรรพากรทุกปี และให้นำเอกสารหลักฐานมายื่นต่อเขต หากรายได้พึงประเมินเกินกว่าที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าสิทธิทำการสิ้นสุด ผู้ที่ไม่ยื่นภาษีหรือจงใจหลีกเลี่ยง ให้ถือว่ามีรายได้พึงประเมินเกินกว่าที่กำหนดไว้ เป็นต้น.
ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 1 ก.พ. 2567 (กรอบบ่าย)