จ่อเพิ่มใหได้ประโยชน์ปรับสีผังปันพื้นที่สาธารณะ
กทม.2 ดินแดง – เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ต่อเนื่องจากการ ให้สัมภาษณ์เรื่อง ร่างผังเมืองรวม กทม. เมื่อวานนี้ (10 ม.ค. 67) สรุปว่า “เมื่อวานนี้ ผมได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผังเมืองกรุงเทพมหานครใหม่และได้มีการใช้คำพูดที่อาจทำให้บางท่านไม่สบายใจ หรือไม่พอใจต้องขอโทษด้วยนะครับ”
กทม. ยินดีน้อมรับฟังทุกความเห็นของประชาชน เพื่อนำไปปรับปรุง พัฒนาร่างผังเมืองนี้ให้ดีขึ้น และ เพื่อให้การรับฟัง ได้กว้างขวาง ครอบคลุม มากขึ้น จึงขอขยายการรับฟังความเห็นไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ครับ รวมถึงจะปรับปรุงกระบวนการ และช่องทางในการรับข้อมูลให้ดีขึ้น”
ด้านนายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวถึงข้อกำหนดเพิ่มเติมที่จะบรรจุลงไปในการจัดทำร่างผังเมืองรวม กรุงเทพมหานคร ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 4 ว่า ประกอบด้วย 1.กำหนดให้เจ้าของที่ดินที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนสีผังเมือง ต้องแบ่งพื้นที่ บางส่วนเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น จากพื้นที่เดิมที่เคยเป็นสีส้ม (พื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง) ถูกปรับใหม่ตามร่างผังเมืองให้เป็นสีแดง (พื้นที่พาณิชยกรรม) เจ้าของที่ดินจะต้องปันที่ดินส่วนหนึ่งให้เป็นประโยชน์สาธารณะ หากต้องการก่อสร้าง เพิ่มเติมบนพื้นที่ที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่หากไม่ต้องการก่อสร้างก็ไม่ต้องปันส่วนที่ดิน เป็นมาตรการภาคบังคับ เช่น อนุญาตให้ติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าไว้บนที่ดิน ติดตั้งขาสะพานลอย ที่จอดวินมอเตอร์ไซค์ หรือให้พื้นที่สร้างทางเท้า เป็นต้น ยกตัวอย่าง เจ้าของที่ดินมีสิทธิก่อสร้างเพิ่ม 1,000 ตารางเมตร ต้องแบ่งที่ดินเพื่อสาธารณประโยชน์ 250 ตารางเมตร ซึ่งแนวคิดดังกล่าว จะช่วยแก้ปัญหาทางเท้าแคบ พื้นที่สาธารณะไม่เพียงพอ
2.มาตรการ FAR Bonus ยังคงเดิม ตามการคำนวณสัดส่วนพื้นที่ เพื่อรับสิทธิแลกเปลี่ยน เช่น เจ้าของที่ดินให้พื้นที่เพื่อสาธารณะอย่างใดอย่างหนึ่ง แลกกับสิทธิ FAR Bonus ในการก่อสร้างเพิ่มเติม
นายวิศณุกล่าวว่า ข้อกำหนดเพิ่มเติมดังกล่าว เตรียมบรรจุ ลงในร่างผังเมืองรวมปัจจุบัน ซึ่งเป็นข้อแตกต่างเพิ่มเติม นอกเหนือจากร่างผังเมืองรวม ปี 2556 จะอาศัยขั้นตอนในการรับฟังเสียงประชาชนและการพิจารณาของคณะกรรมการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตามกระบวนการ เพื่อสอดแทรกบรรจุข้อกำหนด ดังกล่าวเพิ่มเติมต่อไป
ที่มา: นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 12 ม.ค. 2567