นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเผยถึงแนวทางการทำงานในปี 2567 โดยย้ำว่า กรุงเทพมหานครจะยังคงเดินหน้าแก้ปัญหา ‘เส้นเลือดฝอย’ ในทุกเขตทุกสำนัก คู่ขนานไปกับ ‘เส้นเลือดใหญ่’ โครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า อุโมงค์ระบายน้ำ โรงพยาบาลที่จะสร้างอีกหลายแห่ง แต่ภาพรวมปี 67 จะให้ความสำคัญที่สุดใน 2 เรื่อง คือ ด้านการศึกษา และด้านสาธารณสุข ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ กทม.ละเลยไป ทั้ง 2 เรื่องจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจได้ แต่จะยังไม่ทิ้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคม การจัดระเบียบเมืองปัญหาหาบเร่-แผงลอย เพิ่มพื้นที่สีเขียวและการจัดการสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาน้ำท่วม ความปลอดภัย และความโปร่งใส ทุกสำนัก ทุกเขต ต้องมีความคืบหน้าตามเป้าหมายการทำงานซึ่งจะครบ 2 ปีการทำงานในอีก 6 เดือนนี้
“เราให้ความสำคัญ 2 เรื่อง คือ การศึกษา กับการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ กทม.เราละเลยไปเยอะจะเห็นได้ว่าเรื่องต่างๆ ปัญหาทั้งหมดทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำ และเศรษฐกิจ ถ้าไม่เริ่มที่คนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้ เราจึงพยายามพัฒนาเรื่องการศึกษาซึ่งเปลี่ยนไปเยอะ ทั้งในแง่ของครูทำห้องเรียนคอมพิวเตอร์คุณภาพทุกคนชอบมาก รวมถึงหลักสูตรห้องเรียนดิจิทัลที่กำลังขยาย และอาหารนักเรียนได้คุณภาพ อีกเรื่อง สาธารณสุขก็ได้พัฒนาระบบปฐมภูมิ ภาพใหญ่จะเพิ่มโรงพยาบาล 4 แห่ง วางศิลาฤกษ์ไปแล้วที่ภาษีเจริญ และจะออกแบบอีก 3 แห่งที่ สายไหม ดอนเมือง ทุ่งครุ และพัฒนาศูนย์บริการสาธารณสุข เป็นศูนย์แพทย์ชุมชนเมือง และมีแผนเพิ่มศูนย์ฯมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำลงได้” ผู้ว่าฯชัชชาติกล่าว
มองว่าปัญหาด้านการศึกษา หากไม่พัฒนาให้มีคุณภาพก็ยากที่จะพัฒนาด้านอื่นให้ยั่งยืนได้
ฉะนั้น การศึกษาคือหัวใจในการพัฒนาคนให้พ้นความเหลื่อมล้ำ ความยากจน สร้างคนให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนในที่สุด เช่น การออกกฎหมายบังคับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอาจสามารถทำได้ แต่ไม่ได้ผลเท่าการพัฒนาคนให้มีจิตสำนึกเพื่อให้ความร่วมมือโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
ที่ผ่านมาของ กทม.เป็นปีแห่งการทดลอง ริเริ่ม นำร่องและแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ มีการทำวิจัยกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับการเรียนการสอนมากขึ้น โดยมีโครงการเด่นคือ ห้องเรียนดิจิทัลเริ่มนำร่องที่โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ เขตบางเขน เป็นแห่งแรก ในนักเรียนระดับชั้น ป.4 ซึ่งโครงการนี้เป็นการผลักดันและกระตุ้นการศึกษาทั้งองคาพยพ เริ่มจากการออกแบบผ่านงานวิจัยร่วมกับภาคเอกชนต่างๆ โดยแอปพลิเคชัน Google Classroom หรือโปรแกรมศูนย์รวมสำหรับการสอนและการเรียนรู้ เพื่อนำแอปพลิเคชันดังกล่าวมาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนภายในห้องเรียนดิจิทัล สร้างบรรยากาศการเรียนให้เด็กตื่นตัวในการมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยปี 66 พัฒนาห้องคอมพิวเตอร์ครบทั้ง 437 โรงเรียน รวม 598 ห้อง และเปลี่ยนห้องเรียนเป็น ห้องเรียนดิจิทัลแล้ว 12 ห้องเรียน ใน 6 โรงเรียนเป้าหมายจะทำ 57 ห้องเรียน ใน 11 โรงเรียน (ปัจจุบันได้รับรับบริจาคคอมพิวเตอร์มาแล้ว 645 เครื่อง จากเป้าหมาย 2,177 เครื่อง)
แผนในปี 67 จะเพิ่มห้องเรียนดิจิทัล 100 โรงเรียนระดับชั้นป.4 และ ม.1 และเพิ่ม Wifi ครบทุกห้องเรียน ทั้ง 437 โรงเรียนสำหรับนโยบายลดภาระคุณครู คืนครูให้นักเรียน ปี 66 จ้างเหมาธุรการมาช่วยครูทำงานเอกสาร 371 คน ในปี 67 จะยกเลิกครูเข้าเวร เพื่อให้ครูมีเวลาให้นักเรียนมากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายของนักเรียน ปี 66 ประกาศให้สิทธิเด็กแต่งกายและไว้ทรงผมอิสระ, ส่งมอบแว่นตาให้นักเรียนที่มีปัญหาสายตาครบ 100% (ใช้งบ สปสช.) ในปี 67 จะแจกผ้าอนามัยให้นักเรียนหญิง 18,000 คน ในระดับมัธยมครบทั้ง 109 โรงเรียน เปิดเผยข้อมูลของโรงเรียนเพื่อความโปร่งใส ปี 66 พัฒนาระบบตรวจสอบอาหารเช้า/กลางวันของโรงเรียนให้ประชาชนสามารถเข้าไปดูได้ ผ่าน https://bma.thaischoollunch.in.th/bma photo/index.php
พัฒนาหลักสูตรการศึกษาสำหรับนักเรียนสังกัด กทม. ในปี67 จะนำหลักสูตร EF (สำหรับช่วงชั้นอนุบาล) 429 โรงเรียนอนุบาล และหลักสูตร Competency-based Learning (สำหรับช่วงชั้นประถม-ม.ต้น) 58 โรงเรียนนำร่อง Education Sandbox, เพิ่มชั้นเรียนอนุบาล 3 ขวบ ใน 191 โรงเรียน(ปัจจุบันเริ่มรับที่ 4 ขวบ) และ จับมือกับสถาบันอาชีวศึกษาร่วมจัดการเรียนการสอนวิชาชีพใน 109 โรงเรียนมัธยม เพื่อรับส่งต่อเด็ก กทม. ไปเรียนในระดับ ปวช. และจัดมหกรรมเรียนต่อสายอาชีพร่วมกัน
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข นายชัชชาติ กล่าวว่า กทม.พยายามเน้นการเข้าถึงการรักษาโดยสะดวก ลดความแออัดของสถานพยาบาล โดย 1.ขยายการบริการเพิ่มการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชน ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เปิดศูนย์เทคโนโลยีสุขภาพ (ศูนย์พยาบาลปฐมภูมิขนาดเล็กกระจายตัวตามสถานที่ต่างๆ ให้การรักษาผ่านระบบออนไลน์ ตรวจคัดกรองโรคได้เบื้องต้น) จำนวน 5 แห่ง ซึ่งในปี 67 จะเปิดเพิ่มอีก 6 แห่ง 2.เพิ่มโรงพยาบาล กทม. ให้มีครอบคลุมกับความต้องการของประชาชนมากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาลพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เขตภาษีเจริญ โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 68 มีขนาด 40-60 เตียงและเตรียมงบประมาณในการก่อสร้างอีก 3 แห่ง ที่ทุ่งครุ ดอนเมืองสายไหม เพื่อให้โรงพยาบาลมีความครอบคลุมกับความต้องการของประชาชนมากขึ้น
3. ขยายศักยภาพโรงพยาบาลสังกัด กทม. ในปี 67 มีแผนขยายโรงพยาบาลตากสินเป็น 636 เตียง, โรงพยาบาลลาดกระบังเป็น 169 เตียง 4.มอเตอร์ไซค์กู้ชีพฉุกเฉิน motorlance ปัจจุบันมีปฏิบัติการอยู่ 539 คัน ให้บริการแพทย์ฉุกเฉินไปมากกว่า 1,150 ครั้ง ยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุข ให้เป็นศูนย์แพทย์ชุมชนเมือง (มีแพทย์ลงตรวจเป็นเวลา จากเดิมมีแค่พยาบาล) ปี 66 ทำแล้ว 6 แห่ง ในปี 67 จะเพิ่มอีก 6 แห่งต่อเนื่องไป จนถึงยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุขเป็นศูนย์บริการสาธารณสุขพลัส (มีบริการพักคอยดูอาการ ลดการส่งตัวไปยังรพ.) ยกระดับคลินิกกายภาพบำบัด เป็นศูนย์ส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพ เพิ่มจำนวนนักกายภาพบำบัด ประจำศูนย์ฯ เพิ่มอุปกรณ์เครื่องมือ เพื่อช่วยดูแลผู้ป่วยในระยะฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพปี 66 ทำแล้ว 4 แห่ง ปี 67 เพิ่มอีก 7 แห่ง
ยกระดับการดูแลสุขภาพจิต (Mental health) ของศูนย์ฯในปี 67 จะเพิ่มอัตราจ้างนักจิตวิทยาอย่างน้อย 1 คนต่อศูนย์ฯเพิ่มศูนย์ฯให้ครอบคลุม ปี 67 จะเปิดเพิ่ม 2 แห่ง ที่เขตราษฎร์บูรณะ และภาษีเจริญ พร้อมกับก่อสร้างทดแทนศูนย์เดิม13 แห่ง และปรับปรงุ อีก 13 แห่ง คลินิกสุขภาพเพศหลากหลาย (Pride clinic) ปี 66 มี 24 แห่งปี 67 เพิ่มอีก 4 แห่งร่วมทั้ง สนับสนุนผ้าอ้อมผู้ใหญ่ให้ประชาชนที่ต้องการ ปี 66 ส่งมอบแล้ว 4,730 ราย 8.บริการฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกHPV ปี 66 ฉีดไปแล้วมากกว่า 96,000 ราย
“หากถามว่าที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับอะไร เราให้ความสำคัญกับการศึกษาและสาธารณสุข ปัจจุบันก็ยังให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ผมว่าเรื่องนี้ที่ผ่านมา กทม.ละเลยไปเยอะเห็นชัดเลยว่าคะแนน PISA ของเด็กไทยลดลง เราพูดเสมอว่าเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความยั่งยืน เรื่องสิ่งแวดล้อม ถ้าเราไม่เริ่มที่คนไม่มีทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้ รวมถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำและเศรษฐกิจ กทม.จึงเน้นพัฒนาสองเรื่องนี้มากที่สุดซึ่งจะมีการทำต่อเนื่องในปีต่อไป ขยายผลโครงการต่างๆ ที่เริ่มไว้แล้ว” นายชัชชาติ กล่าว
นายชัชชาติกล่าวว่าในปี 2567 จะมีการเพิ่มความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งเป้าติดตั้งเครื่องวัดแผ่นดินไหว 6 โรงพยาบาล และสะพานเหล็กข้ามแยก ปรับปรุงสภาพถนนให้พร้อมใช้งาน ควบคุมน้ำหนักบรรทุกในพื้นที่กรุงเทพฯ ปี 67 ติดตั้ง BWIM (Bridge weight in motion) 5 สะพาน ปรับปรุงถนน สะพาน ที่สำคัญ เช่น ขยายถนนเทพรักษ์, ถนนกรุงเทพกรีฑา, สะพานเชื่อมถนนทหารเขตดุสิต, ซ่อมสะพานถนนพระราม 9, ปรับปรุงซอยลาซาล, ปรับปรุงถนนและท่อระบายน้ำในซอยพัฒนาการ 20 / ซอยอ่อนนุช 17, บูรณะถนนตามข้อมูลPMS (Planned maintenance system)
ด้านการจัดระเบียบเมือง แก้ปัญหาหาบเร่-แผงลอย ก็จะยังคงให้ความสำคัญต่อเนื่อง โดยในปี 2567 จะจัดหาพื้นที่เอกชนหรือ hawker center ให้ผู้ค้าหาบเร่ อีก 28 จุด พร้อมกับยุบเลิก/ยุบรวมพื้นที่หาบเร่อีก 109 จุด พัฒนาคุณภาพหาบเร่-แผงลอยและพื้นที่การค้าสาธารณะ โดยพัฒนาแผนทำ big cleaning ในจุดผ่อนผัน 95 จุดทุกสัปดาห์ พร้อมติดบ่อดักไขมัน และจุดซักล้างรวมอีก 33 จุด พร้อมกวดขัดวินัยจราจร จับปรับมอเตอร์ไซค์วิ่งบนทางเท้า ปี 66 ทำ MOU ร่วมกับผู้ประกอบการโลจิสติกส์ เพื่อส่งเรื่องการฝ่าฝืนกฎหมายให้ดำเนินการทางวินัยภายในบริษัท, ตั้งจุดตรวจจับกุมผู้กระทำผิด 5,439 ราย,ตรวจพบผู้กระทำผิด (กล้อง AI) 52,964 ราย จากกล้อง AI 5 จุดในปี 67 จะเพิ่มจุดตรวจกล้อง AI ให้ครบ 100 จุด
ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และเพิ่มพื้นที่สีเขียว สำนักสิ่งแวดล้อมจะเข้มข้นในการส่งเสริมการแยกขยะ โดยตั้งเป้าแยกขยะเศษอาหารให้ได้ 6,000 ตัน/เดือน ขยายเครือข่ายผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ 16,087 ราย ปริมาณขยะลดลง800 ตัน/วัน ติดตั้งกรงทิ้งขยะเพิ่มความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมืองเพิ่มอีกอย่างน้อย 150 จุด ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 162 จุด สำหรับเรื่องการแก้ปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 ตั้งเป้านำรถไฟฟ้าเข้ามาใช้ใน กทม. แบ่งเป็นรถเก็บขยะ 892 คัน รถบรรทุกน้ำ 1,058 คัน เพิ่มเครือข่าย sensor PM2.5 ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในโรงเรียน และอนุบาลเพิ่มเติม
สุดท้าย นายชัชชาติ กล่าวย้ำถึงเป้าหมายปี 67 ว่า ได้ตั้งเป้าหมายการทำงาน จากที่เข้ามา ในปีที่สองนี้ กำหนด 22 เป้าหมายให้สำนักงานเขตดำเนินการ ซึ่งได้สั่งรองผู้ว่าฯ ให้เตรียมสรุปแถลงผลงาน 2 ปี ในอีก 6 เดือนข้างหน้า เพื่อให้รู้ว่าอีกครึ่งปีที่เหลือ จะต้องเร่งรัดติดตามให้ได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ เพื่อจะได้รู้ว่าเรื่องไหนยังไม่เสร็จก็ต้องเร่งให้เสร็จทัน
ส่วน 22 เป้าหมาย ประกอบด้วย 1. พัฒนาถนนสวย -126.60 กม. 2.ปลูกต้นไม้ – 200,000 ต้น 3.เพิ่มสวน 15 นาที- 156 แห่ง 4.ปรับปรุงทางเท้า – 324.54 กม. และขีดสีตีเส้นทางจักรยาน/ทางเดินซอยย่อย – 498.70 กม. 5.ติดตั้ง/ซ่อมไฟฟ้าส่องสว่าง – 31,878 ดวง 6.ติดตั้ง/ซ่อม ไฟฟ้าส่องสว่างริมคลอง – 7,725 ดวง 7.ยกเลิก/ยุบรวม พื้นที่หาบเร่-แผงลอยนอกจุดผ่อนผัน – 109 แห่ง 8.จัดหาพื้นที่เอกชน/พัฒนา Hawker Center รองรับผู้ค้าหาบเร่-28 แห่ง 9. แก้ไขจุดเสี่ยงน้ำท่วม -99 จุด 10.แก้ปัญหาจุดจราจรฝืด – 137 แห่ง 11.แก้ไขจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ – 125 แห่ง และแก้ไขจุดเสี่ยงอาชญากรรม-322 แห่ง 12. ปรับปรุง/พัฒนาลานกีฬา-162 แห่ง 13.ปรับปรุง/พัฒนาบ้านหนังสือ-45 แห่ง
14.ปรับปรุง/พัฒนา ศูนย์เด็กเล็ก-89 แห่ง 15.ปรับปรุงกายภาพโรงเรียน – 276 แห่ง 16.จัดเก็บขยะให้มีประสิทธิภาพครอบคลุม (% ของอาคารและหลังคาเรือนในเขตที่สามารถจัดเก็บขยะได้มากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์) – 91.23% และปริมาณขยะเศษอาหารที่คัดแยกได้ ภายใต้โครงการ ไม่เทรวม-62,011 ตัน/ปี 17. พัฒนาฐานข้อมูลออนไลน์ชุมชน เช่นข้อมูลกลุ่มเปราะบาง, อุปกรณ์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย- 2,009 ชุมชน 18.ส่งเสริมการใช้งบประมาณ 200,000 บาท/ชุมชน – 328,200,754 บาท 19.ส่งเสริมการใช้งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพ สปสช – 274,376,000 บาท 20.พัฒนามาตรฐานการบริการประชาชน (% จำนวนคำขอที่เขตสามารถให้บริการได้ภายในกรอบ เวลาตามคู่มือประชาชน) – 80.88 (%จำนวนคำขอ) 21.ขุดลอกท่อ – 4,260.43 กม. 22.ขุดลอกคลอง/เปิดทางน้ำไหล – 3,806.26 กม.
“แนวทางการทำงานในปี 2567 โดยย้ำว่า กรุงเทพมหานครจะยังคงเดินหน้าแก้ปัญหา ‘เส้นเลือดฝอย’ ในทุกเขตทุกสำนัก คู่ขนานไปกับ ‘เส้นเลือดใหญ่’โครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า อุโมงค์ระบายน้ำโรงพยาบาลที่จะสร้างอีกหลายแห่งแต่ภาพรวมปี 67 จะให้ความสำคัญที่สุดใน 2 เรื่อง คือ ด้านการศึกษาและด้านสาธารณสุข”
ที่มา: นสพ.สยามรัฐ ฉบับวันที่ 1 ม.ค. 2567