“ติมาเยอะๆ เลย ดีครับ จะได้ปรับปรุง”คือ คำตอบของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อคำถามเรื่องผล ‘นิด้าโพล’ ของ ศูนย์สำรวจความคิดเห็นสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่เปิดเผยเมื่อ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา เรื่อง ‘6 เดือนผู้ว่าฯชัชชาติ’ โดยสอบถามกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 50 เขต กระจายทุกระดับ การศึกษา อาชีพ และรายได้
ผลออกมาว่า 38.93% พอใจมาก เพราะผลงานชัดเจน ทุ่มเท และ 42.60% ค่อนข้างพอใจเพราะขยันทำงาน
ในขณะที่ 10.54% ไม่ค่อยพอใจ และ 7.93% ไม่พอใจเลย ดูตัวเลขเผินๆ ไม่พุ่งปรี๊ดปร๊าด ทว่า หากบวกลบคูณหารออกมาจริงๆ คำตอบที่อยู่ในเกณฑ์พอใจถึงพอใจมาก พุ่งไปถึง 81.53%
ในวันเดียวกัน ผู้ว่าฯชัชชาติ สัญจรยังเขตบางขุนเทียน ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าวเมื่อถูกถามหลังการประชุมที่ห้องประชุมแสมขาว ชั้น 2 สำนักงานเขตบางขุนเทียนว่า หลังจากทราบข่าวตนก็เข้าไปดูอันดับสุดท้ายเลย เพราะคำชมเราคงไม่ต้องการ เราต้องการคำที่ต้องปรับปรุง
สำหรับประเด็นหลักที่ประชาชนต้องการให้ปรับปรุง ได้แก่ คนไร้บ้าน ปากท้องประชาชน และเรื่อง การจราจร “ต้องขอน้อมรับไว้และหาวิธีการ ซึ่งเรามีโครงการอยู่หลายอย่างเหมือนกัน แต่เรื่องปัญหาปากท้องไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ กทม.เองก็มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน ไม่สามารถนำเงินหรืออะไรไปช่วยพี่น้องประชาชนได้ คงต้องทำในกรอบที่ทำได้
ปัญหาอะไรต่างๆ ที่ทำอยู่มีจำนวนค่อนข้างมากอาจจะต้องใช้เวลา ส่วนเรื่องการจราจรเข้าใจว่าทางนายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯกทม. พบว่ามีพื้นที่จุดที่มีปัญหา 270 จุดใน กทม. โดยจะการอบรมวินัยการจราจร และทำเรื่องระบบเทคโนโลยีระบบบริหารจัดการจราจรด้วยระบบอัจฉริยะ ซึ่งมีคณะกรรมการร่วมกับตำรวจจราจรเพื่อพัฒนาระบบไฟจราจรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ผู้ว่าฯกทม. อายุงาน 6 เดือนย้ำอีกว่า ‘น้อมรับคำติ จะรีบนำไปพัฒนา เสียงประชาชนคือเสียงที่มีพลัง’
“ก็ขอน้อมรับเลยครับในแง่ของข้อติ เราจะรีบนำไปพัฒนาให้ดีขึ้น ก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และเสียงประชาชนก็คือเสียงที่มีพลัง ผมว่าสิ่งที่เราฟังมาทุกอย่าง ผมว่าติมาเยอะๆ เลย ดีครับ เพราะว่าเราจะได้ปรับปรุงตัวในสิ่งที่ต้องการให้ปรับปรุง” ชัชชาติกล่าว
ในค่ำคืนนั้น พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. ซึ่งเพิ่งแยกกับ ผู้ว่าฯชัชชาติที่บางขุนเทียนมาหมาดๆ เดินทางมาร่วมงาน ‘สมานมิตรบรรเทอง Return’ ที่มติชนอคาเดมี ร่วมเซ็นชื่อในแผ่นผ้าใบ รวมถึงถ่ายภาพลง Magnet โดยเลือกป้ายข้อความ “มาอ่านหนังสือที่ห้องเราปะ?”
ไม่ถามไม่ได้ ถึงประเด็นผลโพลดังกล่าว พล.อ.นิพัทธ์ บอกว่า ‘ผลโพลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ เชื่อว่าท่านจะนำมาเป็นพลังขับเคลื่อน’
“ผมว่าท่านเป็นคนมีพลัง สิ่งที่ท่านพูดอยู่เสมอคือประชาชนเลือกเรามา เพราะฉะนั้นความคาดหวังจึงสูง ผลโพลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ เชื่อว่าท่านเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นพลังในการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน จากการที่ได้ทำงานอย่างใกล้ชิด ได้เห็นวิธีคิด วิธีพูด รวมทั้งความรู้สึกจริงๆ จากจิตใจของผู้ว่าฯ ท่านเป็นคนดีที่หาได้ยาก ที่สำคัญที่สุดคือความสุจริต คิดถึงแต่ส่วนรวมตลอดเวลา
“นี่คือสิ่งที่บอกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องเสแสร้ง ตัวตน จิตใจของผู้ว่าฯชัชชาติสร้างสรรค์ตลอดเวลา มีพลังจริงๆ ไม่ได้แกล้ง ไม่ได้ฝืน ผลโพลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ ท่านจะนำสิ่งเหล่านี้ไปเป็นพลังขับเคลื่อน เหมือนนักเรียนสอบ ถ้าได้คะแนนเท่านี้จะต้องทำอะไรเพื่อให้ได้คะแนนมากขึ้นไปอีก” ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กล่าวหนักแน่น
ว่าแล้ว มาย้อนดูผลงานช่วง 6 เดือนที่ผันผ่าน ทั้งจุดที่ชาวกรุงขอให้ปรับปรุง และไฮไลต์ที่ประชาชนพอใจ
กทม.ทำอะไรกับ ‘คนไร้บ้าน’? สุขอนามัย-สิทธิพื้นฐาน หลักการที่เร่งดูแล
พลิกปฏิทินไปเมื่อ 8 มิถุนายน ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯกทม. ซึ่งดูแลด้านการศึกษาและสังคม พร้อมคณะทำงาน ลงพื้นที่ในกิจกรรม ‘วันซักผ้าและอาบน้ำแห่งชาติ’ หลังแนวตู้คอนเทนเนอร์ ศาลแม่พระธรณีบีบมวยผม ซึ่ง ‘มูลนิธิกระจกเงา’ ร่วมกับ บริษัท OTTERI ร้านสะดวกซักแบรนด์ดังที่โดยนำรถซักผ้า-อบผ้าที่มีห้องอาบน้ำคันแรกของประเทศไทยในชื่อ ‘ชูมณี’ มาจอดให้บริการคนไร้บ้านด้านเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงสิทธิพื้นฐานเรื่องสุขอนามัยที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับ ขณะเดียวกัน มีบูธ “แฟชั่นสัญจร” ร้านเสื้อผ้าให้คนไร้บ้านได้สามารถเข้าไปเลือกสี เลือกไซซ์ เลือกแบบตามที่ใจชอบหยิบลงใส่ถุงที่เตรียมให้ ซึ่งนอกจากเสื้อผ้าที่เตรียมให้ ยังมีเสื้อและผ้าขนหนูใหม่ คนละ 1 ชุด อภินันทนาการโดย สิงห์คอร์เปอเรชั่น
ต่อมา 30 กันยายน ศานนท์ เยี่ยมจุดช่วยคนไร้บ้าน ยืนยันว่าจากผลสำรวจ 95% อยากมีงานทำและใช้ชีวิตปกติ พร้อมชี้เป้าผู้ใจบุญแจกอาหารใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า และสำนักงานเขตพระนคร
“ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ เรื่องคนไร้บ้านเป็นประเด็นที่ กทม.ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด โดยสำนักพัฒนาสังคมได้จัดพื้นที่บริการเฉพาะกิจ (Drop in) ที่ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า บริเวณหน้าส่วนการท่องเที่ยวฯ เพื่อเป็นจุดแจกอาหาร ติดตามช่วยเหลือคนไร้บ้าน เช่น การทำบัตรประชาชน เพื่อให้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน การบริการด้านอนามัย ทั้งนี้ จุดแจกอาหารมีคนใจบุญจำนวนมาก แต่ไม่รู้ว่าต้องแจกที่ไหน ซึ่งทางเขตพระนครมีจุดแจกใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า และที่สำนักงานเขตพระนคร ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ใจบุญอย่าไปแจกอาหารจุดอื่น เพราะจะทำให้คนไร้บ้านไม่เข้าถึงสิทธิต่างๆ” ศานนท์กล่าวในวันนั้น
ศานนท์กล่าวด้วยว่า จุดนี้มีความพิเศษคือ มีบริการรถซักอบอาบทุกวันศุกร์ จากโครงการชูมณี ร้านสะดวกซักอ๊อตเทริ วอช แอนด์ ดราย รองรับได้ 50 คนต่อวัน ซึ่งเมื่อคนไร้บ้านได้รับการเยียวยาแล้ว จะมีการจ้างงานผ่านโครงการจ้างวานข้า ของมูลนิธิกระจกเงา รวมถึงทาง กทม.จะจัดตำแหน่งงานอาสาสมัครรายวัน ตามแต่ละสำนักงานเขต สำหรับคนไร้บ้านที่อยากมีที่อยู่อาศัย ทาง กทม.จะประสานกับทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อส่งต่อไปยังศูนย์คนไร้ที่พึ่ง ทั้งนี้ แผนในอนาคตทาง กทม.จะมีการจัดสรรพื้นที่จุด Drop in ให้ดีขึ้น เพราะตอนนี้มีการกระจายจุดให้บริการ ทำให้ต้องข้ามถนนไปมา
สำหรับจุด Drop in ทั้ง 4 แห่งประกอบด้วย 1.ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตรอกสาเก ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา และมูลนิธิอิสรชน 2.สถานีรถไฟหัวลำโพง ร่วมกับศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งกรุงเทพฯ 3.ถนนราชดำเนินกลาง ร่วมกับศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งกรุงเทพฯ และ 4.บริเวณนานา/อโศก
31 ตุลาคม ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ชัชชาติ มาเอง โดยควง ศานนท์ ตรวจเยี่ยมจุดบริการอิ่มใจ (Drop-in) ผู้ว่าฯกทม.ย้ำว่า ปัญหาคนไร้บ้านในกรุงเทพฯ มีความจำนวนมากขึ้น แม้ว่าตัวเลขที่ทางการบันทึกอยู่มีประมาณ 1,600-1,800 คน แต่เชื่อว่าคนไร้บ้านน่าจะมีมากกว่านั้น ที่ผ่านมา กทม.ได้จัดสถานที่บ้านอิ่มใจ ซึ่งเป็นที่อยู่ให้อาศัยชั่วคราว ตรงการประปานครหลวง สาขาแม้นศรี แต่ปัจจุบันได้ปิดไปแล้ว ทั้งนี้ คนไร้บ้านต้องไม่ไร้สิทธิ คนไร้บ้านมีสิทธิเหมือนคนทั่วไป แต่เป็นจังหวะอุปสรรคของชีวิต หรือพบความรุนแรงภายในครอบครัว จึงต้องมาอาศัยนอกบ้าน
“กทม.มีหลักการคือ ต้องดูแลให้มีอาหาร อำนวยความสะดวกเรื่องสิทธิต่างๆ เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยเลี้ยงคนพิการ เป็นต้น จัดสถานที่อาบน้ำ ซักเสื้อผ้า ช่วยหางานทำ ปัจจุบันจะเห็นว่ามีคนไร้บ้านจำนวนมากอยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง เพราะมีประชาชนมาแจกอาหารบริเวณนี้จำนวนมาก แต่ทาง กทม.อยากให้มาบริจาคอาหารอยู่ที่จุดเดียว ที่บริเวณใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เพื่อให้มีการบริหารจัดการสะดวกมากขึ้น ทำให้คนไร้บ้านมาจุดตรงนี้ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น การให้บริการซักผ้าอบผ้า อาบน้ำ การตรวจสุขภาพ การสมัครงาน ผ่านโครงการจ้างวานข้า รวมถึงทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตั้งโต๊ะลงทะเบียนให้คนไร้บ้านกลับภูมิลำเนา หรือไปอยู่ที่อาศัยผ่านศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง” ชัชชาติกล่าว
ไม่เพียงเท่านั้น ยังย้ำว่า ‘ไม่ต้องกลัวคนไร้บ้าน’ “บางคนกลัวคนไร้บ้าน แต่ไม่ต้องกลัวนะ จากข้อมูลที่มีคนไร้บ้านที่มีปัญหาสภาพจิตไม่เยอะ ถ้ามีปัญหาเราต้องไปแก้ไขให้เร็ว เชื่อว่าตอนนี้นักท่องเที่ยวกลับมา ตลาดแรงงานมีความต้องการ แม่บ้าน รปภ. ถ้าต้องการแรงงาน ให้มาจุดนี้ได้” นายชัชชาติกล่าว
ด้าน ศานนท์ เผยในขณะนั้นว่า ที่ผ่านมาเมื่อคนไร้บ้านมีงานทำจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่ง กทม.ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา จัดหาตำแหน่งงานรายวันให้กับคนไร้บ้าน ทั้งงานรักษาความสะอาด งานคัดแยกขยะ อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือประชาชน ให้มาแจกอาหารที่จุดนี้ เพื่อทำให้การบูรณาการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อนรรฆ พิทักษ์ธานิน ผู้จัดแผนงานพัฒนาองค์ความรู้ฯ สุขภาวะคนไร้บ้าน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่าคนไร้บ้านหน้าใหม่มีมากถึง 30-40% ที่ประสบปัญหาสถานการณ์โควิด-19 จากการตกงาน หลักสำคัญคือ ‘ต้องช้อนให้ไว’ การมีจุด Drop-in จะช่วยอุ้มคนไร้บ้าน ถ้าไม่มีตรงนี้สถานการณ์คนไร้บ้านจะแย่กว่านี้
ทั้งนี้ ผลจากนิด้าโพลระบุว่า ‘การจัดระเบียบคนเร่ร่อน คนจรจัด และขอทาน 16.87% บอกว่า ดีมาก และ 39.13% ระบุว่า ค่อนข้างดี ส่วน 25.60% มองว่า ไม่ค่อยดี ในขณะที่ 14.07% ไม่ดีเลย และ 4.33% เผยว่าไม่มีข้อมูล
รถติด จราจร ความปลอดภัย เร่งแก้ แต่ไม่ง่าย
อีกประเด็นที่ชาวกรุงยังพอใจน้อยติด 1 ใน 3 คือ การจราจรและรถติด ซึ่งหน้าตักพุ่งไปที่ รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯกทม. โดยตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา มีการลงพื้นที่พร้อมชัชชาติให้ประชาชนเห็นจนเป็นภาพจำ ไม่ว่าเป็น อุโมงค์แยกไฟฉาย อุโมงค์รัชดา-ราชพฤกษ์ สะพานข้ามแยก ณ ระนอง ทางยกระดับรามคำแหง ฯลฯ ทั้งเพื่อเร่งรัดการก่อสร้าง ทวงคืนผิวจราจร และอื่นๆ
18.40% บอกว่า ดีมาก อีก 44.60% ระบุว่า ค่อนข้างดี ในขณะที่ 21.00% มองว่า ค่อยดี ส่วน 14.13% ส่ายหน้าว่า ไม่ดีเลย สำหรับ 1.87% ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
ในส่วนของความปลอดภัย 15 สิงหาคม รศ.ดร.วิศณุ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 17/2565 อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง ในประเด็นการปรับปรุงจุดเสี่ยง เรื่องแรก คือการปรับปรุงทางม้าลายและทางข้าม ที่ผ่านมา 60 วัน มีการทาสี-ตีเส้น ปรับปรุงเครื่องหมายจราจรไปทั้งหมด 145 จุด มีการล้างทำความสะอาดทางม้าลาย 416 แห่ง มีการติดตั้งไฟกะพริบ 15 แห่ง ส่วนจุดที่เกิดอุบัติเหตุ ได้ความอนุเคราะห์ข้อมูลจาก บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ Thai RSC) ซึ่งมีสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นใน กทม. และมีข้อมูลจาก มูลนิธิศูนย์ข้อมูลจราจรอัจฉริยะไทย (Intelligent Traffic Information Center : iTIC) ข้อมูลของ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เอา 3 ข้อมูลมารวมกัน ก็จะได้จุดที่เกิดเหตุมากที่สุด บ่อยครั้งที่สุด สถิติ 3 ปีย้อนหลัง (2563-2565) จำนวน 100 จุด เป็นตัวตั้งต้น จากนั้นส่งทีมวิศวกรเข้าไปสำรวจกายภาพ ความสมบูรณ์ของถนน พฤติกรรมคนขับ เพื่อหามาตรการในการปรับปรุงจุดเสี่ยงเหล่านี้
“บางเรื่องต้องหารือกับทางตำรวจด้วย เช่น ปรับทิศทางการจราจร เปลี่ยนจุดกลับรถเพื่อลดจุดตัดของถนน เป็นต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินงาน ยกตัวอย่างจุดสำคัญๆ เช่น ที่ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งได้มีการ์ดเรลแล้ว และอยู่ระหว่างการ จัดจ้างเพื่อฉาบผิวใหม่ เพิ่มความฉุดของถนนเนื่องจากถนนบริเวณโค้งอาจมีความลื่น หรือแยกบางหว้าที่มีผู้เสียชีวิตสะสม 14 ราย ซึ่งทางกายภาพได้ทำต่อเนื่อง และอีกอย่างหนึ่งที่ทำควบคู่กันไป คือ การรณรงค์สร้างจิตสำนึก ซึ่ง กทม.ได้ร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำคู่ขนานกันไประหว่างทางกายภาพและการรณรงค์ เป็นไปตามนโยบายความปลอดภัยที่ให้ไว้” รศ.ดร.วิศณุกล่าวในวันนั้น
ทั้งหมดนี้ อาจยังไม่ทันใจ แต่มีให้เห็นเป็นรูปธรรม
สุดแฮปปี้ ‘พื้นที่สีเขียว’ พรึบกรุง พอใจยืนหนึ่ง
ตัดภาพมาที่ประเด็นซึ่งคนพอใจมากที่สุด คือการเพิ่มพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ การส่งเสริมการท่องเที่ยว กีฬา ซึ่งในส่วนสันทนาการตั้งแต่ดนตรีในสวนจนถึง Colorful Bangkok อีกทั้งเทศกาลกีฬาสุดปัง เล่นว่าวสนามหลวง วิ่งเปี้ยว ชักเย่อ หมากรุก ชกมวย เตะตะกร้อลานคนเมือง ฯลฯ เป็นที่เลื่องลือ
ส่วนที่ชาวกรุงพอใจเบอร์ 1 อยู่ในหน้าตัก จักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าฯ ที่ขยันสรรหาและตรวจ ‘สวน 15 นาที’ มีข่าวแจกจากศาลาว่าการ กทม. แทบไม่เว้นแต่ละวัน
39.07% ระบุว่า ดีมาก 36.40% บอกว่า ค่อนข้างดี 13.33% ยังมองว่า ไม่ค่อยดี ในขณะที่ 9.13% ระบุว่า ไม่ดีเลย ส่วน 2.07% รับว่า ไม่มีข้อมูล
ล่าสุด 25 พฤศจิกายน ที่ห้องสุทัศน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) จักกพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายด้านเพิ่มพื้นที่สีเขียว ครั้งที่ 3/2565 เพื่อติดตามการดำเนินงาน และพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เดินหน้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วกรุง จับมือคณะผู้บริหารและข้าราชการสำนักสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการ จากหน่วยงานภายนอก อาทิ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมป่าไม้ มูลนิธิโลกสีเขียว สมาคมรุกขกรรมไทย เครือข่ายต้นไม้ในเมือง เครือข่ายสิ่งแวดล้อมเมือง กลุ่ม Big Tree กลุ่ม We!Park และผู้ที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุมรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานขับเคลื่อนนโยบาย สวน 15 นาที และเพิ่มพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานคร โดยสำนักสิ่งแวดล้อมและสำนักงานเขต 50 เขต สำรวจที่ดินที่สามารถปรับปรุงให้เป็นสวน 15 นาทีได้ มีจำนวน 101 แห่ง รวมพื้นที่ 649 ไร่ 1 งาน 59.17 ตารางวา โดยแบ่งที่ดินออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1.ที่ดินกรุงเทพมหานคร จำนวน 41 แห่ง2.ที่ดินภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ จำนวน 34 แห่ง3.ที่ดินเอกชน จำนวน 26 แห่งโดยมีแผนการพัฒนาพื้นที่ทั้ง 101 แห่ง ดังนี้ ในปี 2565 จำนวน 51 แห่ง ปี 2566 จำนวน 24 แห่ง ปี 2567 จำนวน 20 แห่ง ปี 2568 จำนวน 6 แห่ง โดยจะมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบองค์ประกอบของสวน 15 นาที จากกลุ่ม We!Park แก่ผู้แทนจาก 6 กลุ่มเขตของกรุงเทพมหานคร โดยสามารถนำความรู้ไปถ่ายทอดแก่สำนักงานเขต 50 เขต เพื่อการออกแบบที่ตรงต่อความต้องการของประชาชน
เป็น 6 เดือนที่เข้มข้น ส่วนผลโพลก็สะท้อนความเห็นในมุมมองภาคประชาชนที่ผู้ว่าฯ ยืนยันว่าพร้อมรับฟังและนำไปปรับปรุง
บรรยายใต้ภาพ
ชัชชาติ ในชุดวิ่ง ควงวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ ตรวจอุโมงค์แยกไฟฉาย 12 กรกฎาคม
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ และดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ สำรวจหัวลำโพง ดูห้องเช่าคนไร้บ้านย่านตรอกสลักหิน 8 มิถุนายน
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วยศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ ร่วมกับ อนรรฆ พิทักษ์ธานิน ผู้จัดแผนงานพัฒนาองค์ความรู้ฯ สุขภาวะคนไร้บ้าน เยี่ยมจุดบริการอิ่มใจใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า 31 ตุลาคม
‘สวน 15 นาที’ ตามนโยบาย #ทีมชัชชาติ ได้รับความพอใจสูงสุดอันดับ 1 จากนิด้าโพล
ที่มา: นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 9 ธ.ค. 2565 (กรอบบ่าย)