สภา กทม.ไฟเขียวงบ 52 ล้านบาท ซื้อเครื่องฟอกอากาศ 1.7 พันเครื่อง ติดตั้งในห้องเรียน ลุยปรับปรุงอาคาร-สร้างสนามบอล 218 แห่งทั่ว กทม.
เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดแถลงการยกระดับการเรียนรู้เด็กปฐมวัยช่วง 2-6 ขวบ ในกรุงเทพฯ และแนวทางการจัดการศึกษา ภายใต้งบประมาณปี 2567 ว่าปัจจุบัน กทม.ดูแลเด็กให้รับการศึกษา 82,990 คน โดยมีแผนเพิ่มจำนวนนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนในสังกัด กทม. ซึ่งมี 189 แห่ง ที่สามารถรับนักเรียนเพิ่มขึ้น 7,000 คน ในปีการศึกษา 2567 สำหรับโครงการห้องเรียนปลอดฝุ่นชั้นอนุบาล มีการแยกเป็น 2 โครงการ คือ 1.โครงการปรับปรุงห้องเรียนปลอดฝุ่น งบประมาณ 219 ล้านบาท ประกอบด้วย ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ จำนวน 2 ตัว 1,743 ห้องเรียน, ติดตั้งพัดลมระบายอากาศ และการซีลห้องเพื่อปิดรับอากาศจากภายนอก ซึ่งโครงการดังกล่าวไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา กทม. 2.โครงการจัดซื้อเครื่อง ฟอกอากาศ จำนวน 1,743 เครื่อง งบประมาณ 52.11 ล้านบาท ซึ่งทางสภากรุงเทพมหานครให้ความเห็นชอบ ส่วนค่าไฟฟ้าเบื้องต้นที่มีการคำนวณออกมา กรณีที่ 1 เปิดช่วงกลางวัน 2 ชั่วโมง คิดเป็นเงิน 2,995.2 บาท/ปี/เครื่อง กรณีที่ 2 เปิดช่วงวิกฤตฝุ่นครึ่งวัน 4 ชั่วโมง คิดเป็นเงิน 5,990 บาท/ปี/เครื่อง กรณีที่ 3 เปิดช่วงวิกฤตฝุ่นเต็มวัน 8 ชั่วโมง คิดเป็นเงิน 11,980.8 บาท/ปี/เครื่อง
“ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้า กทม.ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ไม่เกิน 40% ของค่าจัดการเรียนการสอน ซึ่งได้รับงบประมาณจัดสรร 640 ล้านบาท ปัจจุบันค่าไฟฟ้า กทม.จ่ายเพียง 172.24 ล้านบาท ยังไม่เกินกรอบที่รัฐบาลกำหนดไว้” นายศานนท์กล่าว และว่า เมื่อ กทม.ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการปรับปรุงห้องเรียนปลอดฝุ่น จึงมีแนวทางการปรับปรุงห้องเรียนปลอดฝุ่น 2 แนวทาง คือ 1.การทำห้องความดันบวก โดยปิดผนึกรอยรั่ว และติดตั้งเครื่องเติมอากาศบริสุทธิ์ 2.ติดตั้งแอร์และแผงโซลาร์เซลล์ โดยให้เอกชนสนับสนุนในรูปแบบกิจกรรมเพื่อสังคม รวมถึงการร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าของโรงเรียน
นายศานนท์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กทม.ได้จัดสรรงบประมาณโครงการปรับปรุงโรงเรียน 218 แห่ง เช่น เปลี่ยนหลังคา, สร้างหลังคาคลุมทางเดิน, สร้างสนามฟุตบอล ต่อมาโครงการสร้างอาคารเรียนใหม่ 9 แห่ง โครงการสร้างที่พักครู 8 แห่ง พร้อมจัดสรรให้งบประมาณใช้สอย เพื่อซ่อมแซมโรงเรียนละ 500,000 บาท รวมถึงการปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 12 แห่ง เตรียมของบประมาณ 89 แห่ง จัดสรรสื่อการเรียนการสอน และเครื่องนอน 274 แห่ง
นายศานนท์กล่าวว่า นอกเหนือจากการปรับปรุงกายภาพของโรงเรียน กทม.ยังมุ่งพัฒนาด้านการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย ประกอบด้วย 1. โครงการนำร่อง ร่วมกับสถาบันรักลูกในโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในพื้นที่เขตสวนหลวงและเขตหนองแขม ซึ่งจะนำร่องแผนการสอนและกิจกรรม Active Learning ในห้องเรียน ที่ส่งเสริมให้เกิดทักษะสมอง EF (Executive Function) ผ่านการอบรมและติดตามโค้ชชิ่งครูปฐมวัย
2.โครงการพัฒนาคุณภาพการจัดการคึกษาปฐมวัยตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ซึ่งจะนำแนวทางจากการนำร่องมาขยายผลให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ศึกษานิเทศก์ และบุคคลากรที่เกี่ยวข้อง เข้าใจแนวทางการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย มีแผนการสอน รูปแบบกิจกรรมในห้องเรียนและการวัดผลลัพธ์ที่เหมาะสม เช่น DSPM และ EF เป็นต้น 3.โครงการจัดทำแผนพัฒนาเด็กปฐมวัยโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร (พ.ศ.2568-2570) ซึ่งจะกำหนดแนวทางพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และการวัดประเมินผลเด็กปฐมวัยต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งมีเป้าหมายของแผนให้เด็กปฐมวัยในโรงเรียน กทม. มีพัฒนาการสมวัย ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรม มีทักษะสมอง EF เพื่อให้เด็กๆ มีวินัยเชิงบวก สามารถควบคุมตนเอง คิดเป็นระบบ เป็นขั้นตอน และแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
นายศานนท์กล่าวอีกว่า ส่วนการปลดล็อกข้อจำกัดและลดภาระครู โดยได้ดำเนินการในเรื่องต่างๆ ดังนี้ 1.เพิ่มงบรายหัวเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน จาก 100 เป็น 600 บาท 2.ค่าอาหารเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน จาก 20 เป็น 32 บาทต่อคนต่อปี 3.เพิ่มค่าตอบแทนอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนอยู่ระหว่างปรับ 4.กำชับให้เขตจ่ายเงินค่าตอบแทนและค่าอาหารให้ตรงเวลา 5.ลดภาระงานครู โดยการจ้างเหมาธุรการในโรงเรียนและลดงานเอกสาร ปัจจุบันจ้างเหมาแล้วกว่า 370 อัตรา 6.ปรับเกณฑ์ รูปแบบ และขั้นตอนการเลื่อนวิทยฐานะครูให้เหมาะสม 7.เติมอัตรากำลังครู โดยเฉพาะครูปฐมวัย ครูแนะแนว และครูการศึกษาพิเศษ ให้เพียงพอต่ออัตรากำลังที่ว่างอยู่
“กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทุกโครงการต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส โดยจะมีการเปิดเผยสัญญา ซึ่งเรื่องทุจริตเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เชื่อว่าหากเราพัฒนาเรื่องเหล่านี้ได้ดี จะส่งผลต่อคุณภาพของเด็กที่จะถูกส่งต่อไปในระดับชั้นประถมศึกษาหรือสูงขึ้น และเด็กเหล่านี้ก็จะเป็นบุคลากรคุณภาพของเมืองได้ในอนาคต” นายศานนท์กล่าว
ที่มา: นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 13 ก.ย. 2566