ประเทศไทยตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2023 นี้ จะส่งเสริมให้หลายเมืองหรือมากกว่า 15 เมือง เป็น Smart City หรือเมืองอัจฉริยะ ซึ่งการพัฒนานี้จะเป็นการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาเมือง มูลค่ามากกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแนวทางการพัฒนาเมืองดังกล่าวสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับการพัฒนาเมืองของประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่มองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจและเมือง จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนสภาพเมืองให้เป็นเมืองที่มีศักยภาพเทคโนโลยีทันสมัยและมีนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลทางบวกต่อสภาพชีวิตความเป็นอยู่ การเรียนรู้และการทำงานของผู้คนที่อาศัยในเมืองดีขึ้น ตลอดจนเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่เมืองได้ง่ายขึ้น
ล่าสุด สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ร่วมกับภาครัฐและเอกชนหลายภาคส่วน แถลงการจัดงาน “Thailand Smart City Expo 2023” ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 พฤศจิกายนนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีคณะผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ในฐานะผู้ขับเคลื่อนนโยบายเมืองอัจฉริยะทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมงาน ได้แก่ รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้แทนจากกลุ่มผู้แสดงสินค้าภายในงาน ได้แก่ นายภุชงค์ เจริญสุข Enterprise Product Marketing Manager บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด และนายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business บริษัท เอสซีจี-ซิเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด
ดร.ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการ กลุ่มงานโครงการพิเศษ และศูนย์พัฒนาดิจิทัลและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า ดีป้าอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ซึ่งการสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทย ถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติ โดยกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ จะต้องมีการบูรณาการการทำงานในทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาชน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และตอบโจทย์ความต้องการอย่างตรงจุด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีเมืองได้รับความเห็นชอบแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เพิ่มเติมจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา และประกาศเป็นเมืองอัจฉริยะแล้ว 36 พื้นที่ใน 25 จังหวัด
“ความร่วมมือกับเอ็น.ซี.ซี. ในการจัดงาน “Thailand Smart City Expo 2023″ จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จะช่วยผลักดันประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะได้อย่างสมบูรณ์ ผ่านการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่มุ่งเน้นให้คนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดแผนการพัฒนาเมือง รวมถึงโครงการที่ตอบสนองบริบทของพื้นที่ และความต้องการของประชาชนให้กับผู้บริหารเมือง ทั้งระดับประเทศ จังหวัด และชุมชน อันจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน ยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ผอ.ดีป้ากล่าว
ในงาน “Thailand Smart City Expo 2023” นี้ “ดีป้า” ยังได้ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) จัดเวิร์กช็อปเพื่อยกระดับการพัฒนาพิธีมอบรางวัล The Smart City Solution Awards 2023 และยังมีการรวมแหล่งองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเป็นแนวทางให้กับภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับเมืองของตน เพื่อต่อยอดในการพัฒนาเมืองได้อย่างยั่งยืน
ด้านนายสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอป เม้นท์ จำกัด กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศทั่วโลก ในการใช้เป็นเครื่องมือยกระดับคุณภาพชีวิต และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน สำหรับในประเทศไทยของเรานั้น นโยบายด้าน Smart City ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและเห็นเป็นรูปธรรมแล้วในหลายพื้นที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในนโยบายของทุกพรรคการเมือง ซึ่งเมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว คาดว่าพรรคการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะเร่งดำเนินนโยบาย Smart City อย่างเต็มรูปแบบด้วย ส่วนความหมายของการเป็น Smart City คือการพัฒนาเมืองหรือท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยเครื่องมือในการจัดเก็บฐานข้อมูล ซึ่งจะนำมาบริการจัดการตามแต่ละบริบท ภูมิศาสตร์ และ รูปแบบความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นหรือเมืองนั้นๆ ด้วยเทคโนโลยี-นวัตกรรม มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการในทุกด้าน
“ภาคเอกชนจะมีบทบาทนำเทคโนโลยีด้าน Smart City มาใช้เป็นมาตรฐานในการพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อให้การบริหารจัดการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการต้นทุน การบริหารจัดการด้านพลังงาน ด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงยังเป็นการสร้างแบรนด์ทางการตลาด โดยบริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ฯ ในฐานะผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการศูนย์การประชุมและศูนย์แสดงสินค้าแห่งนี้ให้มุ่งสู่การเป็น Smart Venue ระดับโลกอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งในแง่ Smart Energy และ Smart Living โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ อาทิ ติดตั้งกล้อง CCTV ที่มีระบบ AI ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ติดตั้งระบบ Building Management System (BMS) ที่เชื่อมต่อกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในศูนย์ฯ ควบคุมการใช้แสงสว่าง ปริมาณการใช้ไฟฟ้า หรือน้ำจากส่วนกลาง เพื่อประหยัดพลังงาน และตอบโจทย์ Sustainability รวมถึงการใช้ระบบชำระเงินแบบไร้เงินสด (Cashless) ตอบโจทย์ Smart Retail เป็นต้น และยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายที่เราได้นำมาใช้” นายสุรพลกล่าว
สำหรับงานประชุม Thailand Smart City Expo 202 แบ่งหมวดหมู่เทคโนโลยีออกเป็น 7 ด้านสำคัญสำหรับ Smart City ได้แก่ Smart Telecom, Smart Energy, Smart Living, Smart Industry & Retail, Smart Mobility, Smart Environment และ Smart Healthcare ซึ่งจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากบริษัทชั้นนำกว่า 300 บริษัท รวมถึงพาวิลเลียนจากต่างประเทศ ไฮไลต์ที่สำคัญของปีนี้จะมีการจัดเสวนาระดับนานาชาติ เรื่องทิศทางการพัฒนาเมืองของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และเมือง Smart City ต้นแบบจากญี่ปุ่น รวมถึงการประชุม การเสวนาขยายผลจากนโยบายด้านต่างๆ ของรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ในเร็วๆ นี้อีกด้วย
ในงานยังเป็นเวทีสำหรับผู้บริหารเมืองได้มาสัมผัสถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีล้ำสมัย และผู้บริหารโครงการภาครัฐและเอกชนในฐานะผู้ซื้อ จะได้มาเลือกสรรและศึกษานวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ ล่วงหน้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะเดียวกัน งานนี้ก็จะเป็นเวทีสำหรับเจ้าของเทคโนโลยี บริษัทผู้ให้บริการและผู้แทนจำหน่ายจะได้พบกับผู้ซื้อโดยตรงจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทั่วประเทศตลอดทั้ง 3 วันของการจัดงาน.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 17 ส.ค. 2566