กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทยที่มีประชากรมากที่สุด มีแนวโน้มประชากรหลั่งไหลเข้ามาอยู่ในพื้นที่เมืองเพิ่มขึ้นและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุด แต่ทางกลับกันคนกรุงเผชิญสารพัดปัญหา ทั้งค่าครองชีพสูง รถติด น้ำท่วม ฝุ่นพิษ PM2.5 ขาดพื้นที่สีเขียว เข้าไม่ถึงโอกาส การบริการสุขภาพ ทำให้คุณภาพชีวิตคนเมืองย่ำแย่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายใจ
บนเวทีนำเสนอความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนบูรณาการสร้างเสริมสุขภาวะคนเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และภาคีเครือข่าย ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เมื่อวันก่อน เสนอแนวทางบูรณาการสร้างเสริมสุขภาวะคนเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) โดยใช้ทิศทางและเป้าหมาย 10 ปี และต้นทุนองค์ความรู้ คน ทรัพยากรกับนโยบาย 9 ดี กรุงเทพฯ ‘เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน’ เป็นกรอบดำเนินงาน เป้าหมายสนับสนุนให้เกิดกลไกระดับเขตนำร่องครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม โดยมีแผนครอบคลุม 50 เขตในกรุงเทพฯ ภายในปี 2570
ตามแผนมี 7 กลุ่มงาน หนุนสุขภาวะที่ดี ได้แก่ 1.การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กแบบไร้รอยต่อ 2.การพัฒนากลไกหน่วยจัดการเพื่อหนุนเสริมการทำงานชุมชนอย่างมีส่วนร่วมทุกระดับในกรุงเทพฯ 3.การเข้าถึงทรัพยากรเพื่อยกระดับบริการปฐมภูมิ 4.การพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรกลุ่มเปราะบาง 5.การพัฒนาพื้นที่สุขภาวะสร้างสรรค์เพื่อทุกวัย 6.องค์กรสุขภาวะและการบริหารจัดการที่ดี และ 7.การสร้างเครือข่ายร่วมพัฒนาสุขภาวะชุมชนในพื้นที่เขตเมือง
ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ความก้าวหน้าช่วง 1 ปี ได้ขับเคลื่อนผ่านกลไกการทำงาน 7 กลุ่มงานอย่างเป็นระบบและมีรูปธรรมชัดเจน โดยใช้ทุนเดิม สสส. บวกกับโอกาสทางนโยบายของผู้ว่าฯ กทม. มีการพัฒนาชีวิตเด็กแบบไร้รอยต่อ เด็กในครอบครัวเปราะบางในชุมชน กทม. นำร่องเขตลาดกระบัง มีการใช้แพลตฟอร์ม”เติมเต็ม” คุณภาพชีวิต เห็นเด็กตั้งแต่ต้นน้ำทุกมิติ มีผู้รับผิดชอบชัดเจน จะขยายผลนำใช้ให้ครอบคลุม 50 เขต ในอีก 5 ปี ทั้งยังพัฒนากลไกหน่วยจัดการเสริมการทำงานชุมชนเข้มแข็ง อย่างมีส่วนร่วม 10 เขต สนับสนุนโครงการกว่า 200 ชุมชน อีกสถานการณ์สำคัญ สสส.หนุน กทม.พัฒนาคนพิการให้มีงานทำ ส่วนคนไร้บ้านมีกลไกช่วยเหลือครบวงจร ช่วยเหลือเพื่อเข้าถึงที่อยู่อาศัย พัฒนาศักยภาพเข้าถึงที่อยู่อาศัย
สิ่งที่จะชวนทำงานต่อเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสู่กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่ ดร.ประกาศิต กล่าวว่า จะเร่งกลไกการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะสร้างสรรค์เพื่อทุกวัย สสส.ต้องการพื้นที่และเชื่อมโยงกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาวะเพื่อคนทุกวัย ซึ่ง กทม. มีเป้าหมายชัดเจนเรื่องสวน 15 นาที เรามีเครือข่าย ภาคประชาสังคม และชุดความรู้ หนุนให้เกิดการจัดการพื้นที่สุขภาวะได้ นอกจากนี้ ในเมืองใหญ่ต้องสานต่องานพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก โดยเฉพาะแพลตฟอร์มเติมเต็มจะขยายผล เพราะเด็กกลุ่มเสี่ยงหนึ่งคนชีวิตอาจไม่ได้เสี่ยงตั้งแต่เกิด แต่สภาพสังคมนำพาความเสี่ยงและอาจส่งผลกระทบ แพลตฟอร์มนี้ออกแบบตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ การเยียวยารักษาเบื้องต้น และฟื้นฟูกลับสู่สังคม ส่วนการเข้าถึงทรัพยากรที่ติดระเบียบและกลไกจัดการ ทั้งที่ชุมชนเมืองมีศักยภาพ จะผลักดันเข้มข้นผ่านกลไกพี่เลี้ยงในระดับชุมชนเชื่อมต่อกลไกข้นผ่านกลไกพี่เลี้ยงในระดับชุมชนเชื่อมต่อกลไกทำงานภาครัฐ จะสร้างความเข้าใจและพัฒนาศักยภาพเพื่อเข้าถึงทรัพยากรได้
“หลักการทำงานร่วมมือกันอย่างเป็นระบบทั้ง สสส. กทม. และชุมชนที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ อีกทั้งถ้าทุกคนมีความคิดเชิงพลเมือง จะนำมาสู่สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบ จะขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาวะคนเมืองใน กทม. ได้ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิด การเปลี่ยนแปลงระบบ และคนทำงานสร้างเสริมสุขภาพในทุกระดับ “ ดร.ประกาศิต ย้ำ
ด้าน ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า กทม.มียุทธศาสตร์การทำงาน 200 กว่าข้อ นำนโยบายมาแมตช์กับยุทธศาสตร์ 5 ปี ของ สสส. รวมถึงตัวชี้วัดต่าง ๆ ประสานร่วมกัน หากถอดบทเรียน 1 ปี มีแซนด์บ็อกซ์นำร่องหลายด้าน ฝสิ่งที่ดีต้องขยายให้ครบ 50 เขตหรือมากที่สุด และที่ยังไม่สำเร็จ กทม.ต้องการสนับสนุนกลไกเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมระดับเขตหรือพื้นที่ เพื่อสร้างชุมชนเมืองเข้มแข็ง ปัจจุบัน กทม.ให้งบ 2 แสนบาทต่อชุมชน จำนวน 2,009 ชุมชน โดย สสส. สนับสนุนงบฯ เพิ่ม การหนุนเสริมถือเป็นหัวใจสำคัญ
“การสร้างสุขภาวะคนเมืองมีอุปสรรคเรื่องระเบียบและข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานครต้องปรับเปลี่ยน มิฉะนั้นจะถึงทางตัน สิ่งที่ กทม. ต้องทำด้วย คือ ข้อบัญญัติชุมชนเข้มแข็ง ข้อบัญญัติศูนย์เด็กเล็ก ข้อบัญญัติพื้นที่สุขภาวะสร้างสรรค์ เพื่อปลดล็อกและตอบโจทย์ 2 องค์กร นอกจากนี้ กทม.เดินหน้าระบบการจัดทำข้อมูลผ่านชุมชนดิจิทัลให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน หรือ One Map ชวน สสส.ร่วมนำเข้าข้อมูลด้วย หลายบทเรียนต้องทำร่วมกันและต่อยอดต่อ งานสุขภาวะถ้ารอจะสายเกินไป “ ศานนท์กล่าว
บทเรียนการทำงานกับ กทม. แบบภาคีหุ้นส่วนในการสร้างเสริมสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม ชนิสรา ละอองดี หัวหน้าหน่วยจัดการเขตภาษีแจริญ กรุงเทพฯ กล่าวว่า จากนโยบาย กทม. ชวนเพื่อนมาคิดงบฯ 2 แสนบาท สนับสนุนชุมชนเข้มแข็งให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด และชวนชุมชนระดมความคิดปัญหาในพื้นที่ชุมชน สะท้อน 200 เรื่อง ใน 50 ชุมชน จัดกลุ่มปัญหาเป็นเรื่องสุขภาพ ถัดมาเรื่องไฟฟ้า ประปา การชวนคิดทำให้เห็นปัญหาของตัวเอง และลุกขึ้นร่วมจัดการ มีการนัดพบปะ ผอ.เขตภาษีเจริญ แนะนำหน่วยจัดการเขตภาษีเจริญ ขณะเดียวกันปูพรมคุยกับชุมชนผ่านออนไลน์และออฟไลน์ ทุนชุมชนเข้มแข็ง กทม.ใช้จัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์ บางชุมชนใช้งบ สปสช. ช่วยจัดการระยะสั้น ส่วนทุน สสส. สนับสนุนสวนเกษตรในเมือง 10 โครงการ ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ 10 โครงการ การจัดการขยะ 3 โครงการ และแก้ปัญหากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เติมเต็มงานสุขภาวะ
บรรยายใต้ภาพ
สสส.สานพลัง กทม. ยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมืองกรุงเทพมหานคร
ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ และศานนท์ หวังสร้างบุญ
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 28 ก.ค. 2566