โยนอนันดา-กทม.แก้ปัญหากันเอง
ปมคอนโดฯ ‘แอชตัน อโศก’ บาน รฟม.ปัดไม่เกี่ยว หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนคอนโดฯหรูกลางกรุง โยนบริษัทอนันดาฯ เจ้าของโครงการไปคุยกับกทม. ที่อนุญาตให้สร้าง ส่วนที่ดินโครงการอยู่บนถนนเป็นภาระจำยอม กว้างแค่ 6.40 เมตร สร้างตึกสูงไม่ได้อยู่แล้ว ขณะที่ทางผ่านที่ดินรฟม. ศาลชี้ว่าไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เอามาผูกพันเพื่อขออนุญาตสร้างอาคารไม่ได้ หากจะฟ้องก็พร้อมสู้คดี ด้านซีอีโออนันดาฯ วอนภาครัฐช่วยแก้ไข จ่อเข้าพบผู้ว่าฯ กทม. ร่วมหาทางออก
เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ภายหลังศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2566 มีคำพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตคอนโด “แอชตัน อโศก” ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง อนันดาฯ กับ บริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด ที่เป็นพันธมิตรญี่ปุ่น ภายใต้ บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ในสัดส่วนการถือหุ้น 51/49 โดยมีประเด็นสำคัญที่ศาลวินิจฉัย คือ ที่ดินทางเข้า-ออกอาคารแอชตัน อโศก ซึ่งเป็นที่ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มาจากการเวนคืน จึงไม่อาจนำมาให้เอกชนใช้ในการประกอบการได้ และเมื่อ กทม. ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างจึงขัดกับ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการรฟม. เปิดเผยว่า รฟม.ยังไม่ได้รับการแจ้งนัดจากบริษัทอนันดา ทางฝ่ายกฎหมายกำลังศึกษาคำพิพากษาของศาลฯ และขอยืนยันว่ารฟม.ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เพราะศาลไม่ได้เพิกถอนใบอนุญาตของรฟม.ที่อนุญาตให้ใช้ทางผ่าน แต่ศาลเพิกถอนใบอนุญาตการก่อสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องของบริษัทต้องไปดำเนินการและหาทางออก กับกทม. ไม่เกี่ยวกับรฟม.
“ถ้าอนันดาจะยื่นฟ้องรฟม.ให้ร่วมรับผิดชอบด้วยนั้น ก็เป็นสิทธิ์ของเขา ก็สู้ความกันไปตามกฎหมาย แต่ผมมีคำพิพากษายืนยันอยู่แล้วว่ารฟม.ไม่ได้ถูก เพิกถอนใบอนุญาตก็จบแล้ว ผมจะรับผิดชอบอะไร เพียงแต่เขาเอาใบอนุญาตของเราไปประกอบการขออนุญาตก่อสร้างอาคารไม่ได้ เพราะที่ดินที่ตั้งโครงการอยู่บนถนนเป็นภาระจำยอม มีความกว้างแค่ 6.40 เมตร ไม่สามารถก่อสร้างตึกสูงได้ และศาลถือว่าทางผ่านของรฟม.ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ไม่ได้ทำให้ที่ดินของโครงการติดถนนสาธารณะ เพราะศาลถือว่าถนนของรฟม.ไม่ใช่สาธารณะ จะเอามาผูกพันเพื่อขออนุญาตสร้างอาคารไม่ได้ และการที่เอกชนจะซื้อที่ดินรัฐซึ่งได้มาจากการเวนคืนไม่สามารถทำได้เช่นกัน และปัจจุบันรฟม.ยังไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนจากบริษัท 97 ล้านบาท ตามที่บริษัทระบุ และผมจะไม่รับด้วย” นายภคพงศ์กล่าว
ส่วนที่บริษัทบอกว่ามีอีก 13 โครงการมีลักษณะคล้ายกันนั้น คำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความ แต่ละโครงการมีข้อเท็จจริงแตกต่างกัน เพราะไม่ใช่ลักษณะเดียวกันทั้งหมด อย่าเหมารวม เนื่องจากการสร้างทางเชื่อมหรือสกายวอล์กกับสถานีรถไฟฟ้า เป็นการเชื่อมสถานี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถไฟฟ้าไปยังอาคารต่างๆ ทำให้คนโดยสารรถไฟฟ้าไม่ต้องลงมาเดินทางเท้า แต่การเชื่อมทางในลักษณะของบริษัทอนันดา ซึ่งได้รับอนุญาตเมื่อปี 2557 เป็นการเชื่อมจากอาคารหรือที่ดินของเอกชน เพื่อออกสู่สาธารณะ ไม่ได้ถือเป็นการเชื่อมกับการบริการรถไฟฟ้า เป็นเรื่องเฉพาะโครงการที่จะทำให้โครงการเข้าออกสู่สาธารณะได้ ตามกฎกระทรวงของพ.ร.บ.ควบคุมอาคารและรฟม.จะไม่มีการอนุญาตในลักษณะนี้อีกแล้ว ส่วนการอนุญาตสกายวอล์กเป็นคนละกรณีกัน
ก่อนหน้านี้ นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทขอน้อมรับและเคารพในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดตามที่ได้วินิจฉัยไว้ กรณีที่ศาลปกครองสูงสุด ได้วินิจฉัยในประเด็นสำคัญที่ว่า ที่ดินของ รฟม. ไม่อาจนำมาให้บริษัทหรือเอกชนใช้ในการทาโครงการได้ จึงทำให้หน่วยงานของรัฐไม่อาจออกใบอนุญาตในการก่อสร้าง จึงมีผลให้ใบอนุญาตไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะเดียวกันสงสัยว่า หากเป็นเช่นนี้แล้วเอกชนจะต้องมีการลงทุนต่อไปแล้วหากเกิดปัญหาขึ้นอีก จะมีการแก้ไขร่วมกันได้อย่างไร ถึงขั้นทุบตึกหรือไม่ เนื่องจากผลที่เกิดขึ้นกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น ผู้ร่วมทุนอย่างมิตซุย ฟูโตซัง ตลอดจนเจ้าหนี้ซึ่งเป็นธนาคาร โดยบริษัทมีข้อสงสัยว่าสถานการณ์มาถึงขนาดนี้แล้ว ภาครัฐจะช่วยหาทางออกซึ่งกันและกันได้อย่างไร หลังจากนี้จะขอเข้าพบผู้ว่าฯ กทม.และ รฟม. ภายใน 14 วันนับแต่วันที่ 27 ก.ค. เพื่อหาออกทางร่วมกัน
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์ บมจ.อนันดา กล่าวว่า อนันดาฯ และเจ้าของร่วมในขณะนี้รวม 580 ครอบครัว จากจำนวนห้องทั้งหมด 668 ยูนิต ที่อาศัยอยู่โครงการแอชตันอโศกในขณะนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบร่วมกัน เป็นคนไทย 438 ครอบครัว และเป็นชาวต่างชาติ 142 ครอบครัว จากทั้งหมด 20 ประเทศ โดย 84% อยู่อาศัยมาเป็นระยะเวลา 4 ปีแล้ว โดยมูลค่าโครงการแอชตันอโศก ทั้งหมดอยู่ที่ 6,481 ล้านบาท ปัจจุบันมีการส่งมอบห้องชุดเพื่ออยู่อาศัยแล้ว 87% (คิดเป็นมูลค่า 5,653 ล้านบาท) ส่วนที่เหลืออีก 13% หากคิดเป็นมูลค่าความเสียหายที่เหลือเฉพาะส่วนของอนันดาอยู่ที่ ราวกว่า 200 ล้านบาท
“บริษัทอนันดายังคงยืนยันการทำงานด้วยความถูกต้องและสุจริตในทุกขั้นตอนตั้งแต่ผ่านการอนุญาตจัดสรรจาก 8 หน่วยงานรัฐ ขอใบอนุญาตรวม 9 ฉบับ ขอความเห็นก่อนดำเนินการไม่น้อยกว่า 7 หน่วยงานรัฐ ผ่านการพิจารณาจาก 5 คณะกรรมการภาครัฐ ขณะที่ปัจจุบันมีกว่า 13 โครงการ ทั้งอาคารพักอาศัยและศูนย์การค้าที่ขอผ่านทางในลักษณะคล้ายกันในกรุงเทพฯ อีกทั้งบริษัทได้มีการรับผิดชอบค่าผ่านทางให้กับรฟม.ไปกว่า 100 ล้านบาท ดังนั้นจึงอยากขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย” นายประเสริฐกล่าว
นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ขอเวลาให้ทีมกฎหมายกทม.พิจารณารายละเอียดตามคำพิพากษาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากในคดีนี้มีผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังกทม. รับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดแล้ว จะสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการแอชตันอโศก และเรียกผู้รับอนุญาต คือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่รับผิดชอบก่อสร้าง มารับทราบการดำเนินการตามคำสั่งศาล ซึ่งบริษัทต้องปรับปรุงแก้ไขแบบก่อสร้างใหม่ ให้ถูกกฎหมาย เป็นไปตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ไม่ว่าจะเป็นการจะไปปรับผังบริเวณโครงการ เพื่อให้มีทางเข้าออกกว้างอย่างน้อย 12 เมตร ออกไปสู่ถนนสาธารณะได้ตามกฎหมายกำหนด สรุปก็คือ ขั้นตอนแรก กทม. จะให้โอกาสไปแก้ไขแบบก่อสร้างอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียมแห่งนี้ก่อน จะยังไม่สั่งให้รื้อถอนโครงการ เพราะผู้ได้รับผลกระทบ ก็คือลูกบ้านที่เข้าอยู่อาศัยและผู้ซื้อ
ขณะที่ นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผอ. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า การสร้างอาคารผิดกฎหมายเกิดจากรัฐไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่บังคับใช้กฎหมายตั้งแต่ต้น เมื่อศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตฯ จึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บริโภค เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยให้ผู้บริโภคในทุกกรณีก่อน ส่วนผู้ประกอบการจะไปเรียกร้องกับหน่วยงานที่อนุญาตก่อสร้างนั้นเป็นเรื่องคนละส่วนกัน
ด้านนายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า กรณีนี้ถือว่าผู้ประกอบการเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้บริโภคซื้อห้องแล้วอยู่อาศัยไม่ได้ตลอดไปตามวัตถุประสงค์ ผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนมีสิทธิยกเลิกสัญญา และขอให้บริษัทคืนเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งทางมูลนิธิจะช่วยเหลือในเรื่องการดำเนินคดีกับบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการ ผู้บริโภคร้องเรียนมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ดังนี้ 1.แจ้งชื่อ ที่อยู่และเบอร์โทร. 2.เอกสารซื้อขายคอนโดฯ 3.เอกสารใบเสร็จรับเงิน 4.เอกสารการเป็นเจ้าของห้องชุด ผ่านช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนต่างๆ
“มูลนิธิเตือนผู้ที่จะซื้อคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่พิเศษ ให้ตรวจสอบข้อมูลให้ดี เพราะอาจพบปัญหา เช่น ไม่ได้ห้อง หรือซื้อแล้วอาจจะถูกรื้อถอน เพราะเป็นการก่อสร้างที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากปัจจุบันคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่พิเศษในกรุงเทพฯ อาจจะมีการสร้างแบบผิดกฎหมายและถูกร้องเรียนจากผู้ได้รับความเดือดร้อน สุดท้ายหากศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาต สั่งรื้อถอน คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้บริโภค” นายเฉลิมพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ “แอชตัน อโศก” เป็นโครงการอาคารชุด 50 ชั้น จำนวน 783 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 6,400 ล้านบาท เปิดตัวในปี 2558 ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) มีราคาเปิดตัวต่อตารางเมตรอยู่ที่ 200,000 บาท ถือว่าสูงมากด้วยราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท (อัพเดตปี 2564) ซึ่งต่อมาราคาดีดตัวขึ้นไปแตะถึงตารางเมตรละกว่า 300,000 บาท บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 3 งาน เครื่องสาธารณูปโภคครบครัน โดยขนาดห้องมีตั้งแต่ 30 ตารางเมตร ถึง 64 ตารางเมตร ขณะนี้มีลูกบ้านอยู่อาศัยแล้วมากกว่า 80% หรือราวๆ 600 ครอบครัว
ที่มา: นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 29 ก.ค. 2566