ในช่วงสถานการณ์ระบาดของโควิดเมื่อ 3 ปีก่อน ทำให้เด็กๆ ไปโรงเรียนไม่ได้ ต้องเรียนออนไลน์เท่านั้น แต่เด็กบางคนไม่มีอุปกรณ์เรียนออนไลน์ อย่างโน้ตบุ๊ก หรือแท็บเล็ต น้องๆ บางคนผู้ปกครองพอมีกำลังซื้อก็จัดหามาให้ลูกหลาน แต่บางครอบครัวไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอ ก็ทำให้เด็กขาดโอกาสเรียนรู้แทบจะสิ้นเชิง
และแม้ว่าเด็กจะกลับเข้าสู่ห้องเรียนแล้วหลังการระบาด โควิดคลี่คลาย แต่ด้วยโลกการเรียนรู้ปัจจุบันกว้างใหญ่ไพศาลมาก ซึ่งถ้าจะทำให้การเรียนรู้ของเด็กๆ นักเรียนยุคนี้ก้าวทันโลกได้อย่างเท่าทัน ก็ควรมีเครื่องไม้เครื่องมือให้เด็กสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อสืบค้นข้อมูล หรือท่องโลกแห่งความรู้ได้ แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะมีโน้ตบุ๊ก หรือแท็บเล็ต หรือแม้แต่โรงเรียนต่างๆ ที่น่าจะเป็นที่พึ่งพิงของเด็กในการเข้าสู่ระบบดิจิทัล ก็ยังไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์การเรียนรู้ ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโน้ตบุ๊ก ได้เพียงพอกับความต้องการของเด็กได้
ด้วยเหตุนี้ ทาง Google ประเทศไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของเด็กผ่านระบบดิจิทัล จึงจัดโครงการลดช่องว่างดิจิทัลในภาคการศึกษา ต่อยอดก้าวสู่การเป็นห้องเรียนดิจิทัลด้วยกระบวนการที่ยั่งยืน ให้กับนักเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จึงร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย และภาคธุรกิจเอกชนอีกหลายราย เพื่อสนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ กับโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยการเปิดรับบริจาคเครื่องคอมพิวเตอร์ เก่าที่ได้รับการบริจาคมาจากองค์กรต่างๆ โดยหอการค้าอเมริกันในประเทศไทยจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการประกาศรับบริจาคจากสมาชิกของหอการค้าฯ และ Google รับหน้าที่ในการใช้พลังของระบบปฏิบัติการ ChromeOS Flex เพื่อแปลงโฉมคอมพิวเตอร์เก่าเหล่านั้นให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีความรวดเร็วและปลอดภัย รวมทั้งจะทำการฝึกอบรมฟรีให้แก่ทุกโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
โดยคาดว่าภายใน 4 ปีข้างหน้า จะได้รับบริจาคคอมพิวเตอร์เก่าจำนวน 130,000 เครื่อง เพื่อนำมาช่วยสร้างการเรียนรู้แบบ Active Learning ให้กับนักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาที่ 4-ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทุกคน ซึ่งครอบคลุมถึง 437 โรงเรียน
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและสาธารณสุข เป็นสองมิติที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งโครงการรับบริจาคคอมพิวเตอร์จากประชาชนและภาคเอกชนมาเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนรู้ของเด็กๆ ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครนั้น นับเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์แก่ทั้งผู้รับและผู้ให้ ที่นอกจากผู้บริจาคจะได้ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ในองค์กรจากคอมพิวเตอร์เก่าที่มีอายุการใช้งานเกิน 3-5 ปีแล้ว ยังสามารถส่งต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นมาปรับใช้ใหม่ให้มีจำนวนเพียงพอแก่นักเรียนเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ในทุกวิชา และครูก็สามารถจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น พร้อมส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ทักษะดิจิทัลและสามารถนำไปต่อยอดการทำงานในอนาคตได้อีกด้วย
“เรามักจะพูดว่ากรุงเทพฯ มีปัญหามลพิษ หรือการจราจร ซึ่งจริงๆ แล้ว การศึกษาบ้านเราก็ยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพ ซึ่งเราสามารถทำให้การศึกษามีคุณภาพเพิ่มขึ้นได้ และการที่เราพูดถึงการเป็น Smart City มักคิดไปถึงแต่เทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้วการศึกษาเป็นพื้นฐานของการเป็น Smart City และการที่กูเกิลจะมาอัปเกรดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รับบริจาคมา จะช่วยทำให้ห้องเรียนของเด็กเป็นการเรียนแบบ Active Learning ได้จริง และเมื่อมองถึงปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ประเทศไทยมีมากถึง 4 แสนตัน/ปี หากนำ E-Waste เหล่านี้ มาบริจาคเป็นคอมพิวเตอร์ให้กับเด็กๆ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า บรรลุสู่เป้าหมายทั้งด้านความยั่งยืนทางดิจิทัล (digital sustainability) และช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งทั้ง Google และหอการค้าอเมริกันจะมาช่วยต่อยอดความฝันของเด็กๆ ให้เป็นจริง” ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าว
ไมค์ จิตติวาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดด้านแบรนด์ Google ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า Google ให้ความสำคัญด้านการศึกษาและการเข้าถึงดิจิทัลอย่างเท่าเทียมของคนไทยเป็นอันดับต้นๆ ภายใต้พันธกิจ Leave No Thai Behind หรือไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ที่ตอกย้ำการสนับสนุนด้านการศึกษาและการลดช่องว่างดิจิทัลเพื่อให้คนไทยเข้าถึงโอกาสที่มาพร้อมกับอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มที่ สำหรับการดำเนินงานในประเทศไทย นับตั้งแต่การเปิดตัวโครงการ Be Internet Awesome เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เราได้ทำการฝึกอบรมครูและนักเรียนไปแล้วกว่า 3.4 ล้านคน รวมทั้งได้ริเริ่มนำ ChromeOS Flex มาใช้ในพื้นที่การศึกษาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่วนความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นพันธกิจที่เรากระตือรือร้นในการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจากโครงการ Be Internet Awesome โดย Google จะนำ ChromeOs Flex ที่เป็นเวอร์ชั่นหนึ่งของระบบปฏิบัติการ Chrome ที่มีความรวดเร็ว ปลอดภัย และทำงานบนระบบคลาวด์เป็นหลัก มาปรับปรุงคอมพิวเตอร์เก่าๆ ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน เพื่อช่วยให้การเรียนการสอนมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ในการดาวน์โหลด และสามารถใช้ควบคู่ไปกับ Chromebook ที่มีใช้อยู่แล้วอย่างสะดวกสบาย และประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิกที่ใช้โปรแกรมรูปแบบภาษาพื้นถิ่น
“โครงการสนับสนุนการศึกษาของ Google ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งการอบรมครู-นักเรียน 3.4 ล้านคน และเราต้องการให้มีการเข้าถึงอุปกรณ์การเรียน จึงสนับสนุนสิ่งที่ทำให้เกิดความยั่งยืนในห้องเรียน ที่พิเศษเอาเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าที่ยังใช้งานได้ มาอัปเกรดด้วยซอฟต์แวร์ของกูเกิล ซึ่งก่อนหน้าในปี 2022 ทาง Google ส่งทีมไปเทรนครูให้ใช้เทคโนโลยีนี้เป็น และศึกษาเรียนรู้การใช้โปรแกรม ต้นปี 2023 จึงได้ทำโครงการนำร่องที่ไทยนิยมสงเคราะห์ ซึ่งไม่ใช่โรงเรียนดีที่สุดใน กทม. แต่สามารถเป็นตัวแทนภาพรวมทั้งหมดของโรงเรียนใน กทม.ได้ ซึ่งพบว่ามีการเปรียบเทียบผลการเรียนของเด็กก่อนและหลังโครงการ พบว่าเด็กมีผลการเรียนดีขึ้น”
ChromeOS Flex เป็นอย่างไร Tim Paolini หนึ่งในผู้บริหารของ Google กล่าวว่า ChromeOS Flex จะช่วยให้คอมพิวเตอร์เก่าที่โรงเรียนมีอยู่แล้ว สามารถใช้งานด้วยระบบปฏิบัติการในระบบคลาวด์ ที่ใช้งานง่ายและปลอดภัย รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น ส่วนการอัปเกรดเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าของ โปรแกรม ChromeOS Flex จะใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น หรือถ้าเครื่องยังดี จะใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็มี สำหรับโปรแกรม ChromeOS Flex มีการใช้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก หรือประมาณ 50 ล้านคน อาทิ โรงเรียนในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี ญี่ปุ่น ก็ใช้โปรแกรมนี้ ซึ่งการนำเครื่องคอมพิวเตอร์เก่ามาติดตั้งโปรแกรม ChromeOS Flex ยังเป็นการช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์อีกทางหนึ่ง
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า หลังจากนำร่องโครงการอัปเกรดเครื่องคอมพิวเตอร์เก่า ด้วยโปรแกรมของ Google ที่โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ พบว่าหลังเด็กเรียนรู้ผ่านโปรแกรมนี้ มีผลการเรียน 7 วิชา พบว่าผลการเรียนดีขึ้นทุกวิชา ไม่ว่า ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ประวัติศาสตร์ และวิชาดนตรี
ในฐานะผู้ร่วมสนับสนุนโครงการ อรกัญญา พิบูลธรรม ผู้บริหารจากซิตี้แบงก์ประเทศไทย ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่หอการค้าอเมริกันในประเทศไทยก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2499 การศึกษาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่หอการค้าฯ ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา หอการค้าฯ ได้มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศไทยแล้วกว่า 3,100 ทุน ให้การสนับสนุนสถาบันการศึกษากว่า 860 แห่ง และมอบเงินทุนสนับสนุนด้านการศึกษารวมเป็นจำนวนกว่า 190 ล้านบาท สำหรับโครงการบริจาคคอมพิวเตอร์เก่า เบื้องต้นทางซิตี้แบงก์พร้อมที่จะบริจาคได้ทันที 20 เครื่อง เพราะเป็นช่วงการเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าพอดี ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาสและสนับสนุนโครงการห้องเรียนดิจิทัลของ กทม.อย่างเต็มที่
ในงานนี้ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส และบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมบริจาคสองรายแรกด้วยการประกาศส่งมอบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เก่าจำนวน 300 เครื่อง เพื่อนำร่องการบริจาคในโครงการนี้ และบริษัททั้งสองยังมีแผนที่จะร่วมบริจาคในปีถัดไปเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
สำหรับประชาชนทั่วไปหรือองค์กรที่ประสงค์จะร่วมบริจาคคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://digitalclassroom.bangkok.go.th/.
บรรยายใต้ภาพ
สัมฤทธิผลการเรียนของ นร.รร.ไทยนิยมสงเคราะห์ ที่ดีขึ้นทุกวิชาหลังเรียนรู้ผ่านโปรแกรม ChromeOS Flex
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.
ไมค์ จิตติวาณิชย์ ผู้บริหาร Google
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 18 ก.ค. 2566