กทม.เตรียมหารือมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกำหนดแนวทางควบคุมตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ รุกตรวจสอบสุขลักษณะเพื่อความปลอดภัย
นายสุนทร สุนทรชาติ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กทม. กล่าวกรณีมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคเสนอแนะให้ กทม.ออกมาตรการควบคุมธุรกิจตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ เพื่อจัดการปัญหาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ไม่ได้มาตรฐานว่า กทม.อยู่ระหว่างประสานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อร่วมประชุมหารือกำหนดแนวทาง การดูแลตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนและมีความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กทม.มีแนวทางการควบคุมการประกอบกิจการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในพื้นที่กรุงเทพฯ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ.2558 กำหนดให้ “การผลิตน้ำดื่มจากเครื่องจําหน่ายอัตโนมัติ” เป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 ซึ่งให้อำนาจ กทม.ตราข้อบัญญัติของท้องถิ่นในการควบคุมกิจการดังกล่าว โดยในปี 2561 กทม.ได้ออกข้อบัญญัติ กทม.เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พ.ศ.2561 ให้สอดคล้องกับประกาศ สธ.ดังกล่าว กำหนดให้กิจการ “การผลิตน้ำดื่มจากเครื่องจําหน่ายอัตโนมัติ” เป็นกิจการที่ต้องควบคุมในพื้นที่กรุงเทพฯ และกำหนดหลักเกณฑ์ด้านสุขลักษณะให้ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติ และได้ออกข้อบัญญัติ กทม.เรื่อง ค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินกิจการตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ.2561 กำหนดค่าธรรมเนียมกิจการ “การผลิตน้ำดื่มจากเครื่องจําหน่ายอัตโนมัติ” ตู้ละ 500 บาท ตู้ต่อไปคิดเพิ่มตู้ละ 20 บาท แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค.62
ปัจจุบัน สธ.อยู่ระหว่างการจัดทำร่างประกาศ สธ.เรื่องหลักเกณฑ์ มาตรการควบคุมการประกอบกิจการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ พ.ศ. …. โดยกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสถานที่ตั้ง คุณลักษณะตู้น้ำ แหล่งน้ำใช้ในการผลิตและการปรับปรุงคุณภาพน้ำ การควบคุมคุณภาพน้ำบริโภค การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด การบันทึกข้อมูลการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการรายงาน เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัย หากประกาศ สธ.ดังกล่าวแล้วเสร็จ กทม.จะสามารถนำประกาศกระทรวงดังกล่าวมาบังคับใช้ควบคุมการประกอบกิจการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญได้ โดยไม่ต้องออกข้อบัญญัติใหม่ ซึ่งจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย สนอ.และสำนักงานเขต ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกตรวจสอบและดูแลสุขลักษณะตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญและคุณภาพน้ำดื่ม โดยให้ทุกสำนักงานเขตตรวจสอบสุขลักษณะตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญทุกตู้ โดยตรวจสอบด้านกายภาพของตู้อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และตรวจสอบคุณภาพน้ำจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญด้วยชุดทดสอบการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรีย (อ.11) อย่างน้อยปีละ 3 ครั้ง รวมทั้งกวดขันให้ผู้ประกอบการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ไม่มีใบอนุญาตให้ยื่นขอใบอนุญาตให้ถูกต้อง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จากการดำเนินการของสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ระหว่างเดือน เม.ย. – มิ.ย.66 พบว่า ในกรุงเทพฯ มีตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ 3,031 แห่ง มีใบอนุญาต 2,759 แห่ง และยังไม่มีใบอนุญาต 272 แห่ง โดยในรายที่ยังไม่มีใบอนุญาตได้ออกคำแนะนำของเจ้าพนักงานสาธารณสุข (นส.1) ให้ผู้ประกอบการมายื่นคำขอรับใบอนุญาตและปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด หากไม่ขอใบอนุญาตภายในกำหนด จะมีความผิดฐานประกอบการโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 33 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 71 แห่ง พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ส่วนการตรวจสอบตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญทั้งด้านสุขลักษณะทางกายภาพ 1,430 แห่ง และด้านคุณภาพของน้ำ 1,401 แห่ง สำนักงานเขตได้แจ้งผู้ประกอบการให้ปรับปรุงแก้ไขจนผ่านมาตรฐานเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้ให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการเลือกใช้ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย โดยตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ผ่านการตรวจจากสำนักงานเขตแล้วจะได้รับการติดสติกเกอร์ “ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญปลอดภัย” ไว้ที่หน้าตู้ เพื่อบันทึกข้อมูลการตรวจคุณภาพน้ำดื่ม ประชาชนสามารถสังเกตและเลือกใช้บริการน้ำดื่มจากตู้ที่ติดสติกเกอร์ หากพบปัญหาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญไม่สะอาดสามารถแจ้งได้ที่สำนักงานเขตทุกแห่ง หรือแจ้งผ่านระบบ Traffy Fondue เพื่อปรับปรุงแก้ไข
กทม.จับมือทุกภาคส่วนร่วมบริหารจัดการสวนป่าเบญจกิติ พร้อมดูแลความปลอดภัยพื้นที่โดยรอบ
นายประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม (สสล.) กทม. กล่าวถึงแนวทางการดูแลบำรุงรักษาสวนป่าเบญจกิติ หลังจาก กทม.รับมอบสวนเบญจกิติจากรัฐบาลว่า กรุงเทพมหานครได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนบริหารจัดการสวนเบญจกิติให้มีความสมบูรณ์ สวยงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงนิเวศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งสวนเบญจกิติเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเหมาะกับการพักผ่อน ฟื้นฟู เสริมสร้างสุขภาพร่างกายของทุกคน โดยมีการก่อสร้างในรูปแบบอารยสถาปัตย์ มีช่องจอดรถสำหรับผู้นั่งรถวีลแชร์ มีทางลาดสำหรับรถเข็นให้ผู้ใช้บริการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในสวนได้ ส่วนที่เป็น Sky Walk สามารถนำรถเข็นขึ้นมาชมความสวยงามของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า โดยหลังจากเปิดให้บริการสวนเบญจกิติมีประชาชนมาใช้บริการจำนวนมาก วันธรรมดาเฉลี่ย 7,003 คน/วัน และวันหยุดเฉลี่ย 11,992 คน/วัน
ขณะเดียวกัน กทม.ได้เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมทำกิจกรรมในสวนเบญจกิติ อาทิ เป็นแหล่งศึกษาดูงานด้านระบบนิเวศ การบริหารจัดการสวนสาธารณะและสวนป่าในเมือง การใช้พืชบำบัดน้ำเสียในชุมชน เป็นแหล่งศึกษาวิจัยสำหรับนักศึกษาทั้งด้านพรรณไม้ การดูแลต้นไม้ การออกแบบสวนป่า การจัดการขยะที่เกิดจากการใช้สวน เป็นแหล่งสร้างประชาชนพลเมืองดี ด้วยการให้ประชาชนเข้ามาร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสวน รวมถึงการเล่นกีฬาในร่ม โดยได้ปรับปรุงอาคารกีฬาในร่ม เพื่อให้ประชาชนได้มาออกกำลังกายและการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนสามารถมาเล่นดนตรี รวมถึง กทม.จัดโครงการดนตรีในสวน เพื่อให้บริการประชาชน นอกจากนี้ ภายในสวนยังได้จัดทำสวนสุนัข ขนาดพื้นที่ 18.9 ไร่ ซึ่งมีสุนัขที่เป็นสมาชิกเมื่อสิ้นเดือน พ.ค.66 จำนวน 3,578 ตัว มีผู้นำสุนัขมาใช้บริการเฉลี่ยเดือนละมากกว่า 3,000 ครั้ง รวมทั้งร่วมกับมูลนิธิอิออนประเทศไทยทำโครงการ AEON Grow Green “Know Tree Me (มี) Tag” สวนเบญจกิติ โดยทำแผ่นป้ายชื่อต้นไม้และระบบฐานข้อมูลบอกชื่อและข้อมูลต้นไม้ในพื้นที่สวนเบญจกิติ เพื่อให้ประชาชนสามารถศึกษาชนิดพรรณไม้ได้ด้วยตนเอง นอกจากนั้น สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ยังได้ขอใช้สถานที่บริเวณอาคารพิพิธภัณฑ์ภายในสวนเบญจกิติ จัดโครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ OKMD National Knowledge Center (Ratchadamnoen Center 1 – 2) และโครงการศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน OKMD Sustainable Development Learning Center
สำหรับมาตรการดูแลความเรียบร้อยและการตรวจตราความปลอดภัยพื้นที่ภายในสวนเบญจกิติ ได้จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 55 คน ดูแลพื้นที่โดยรอบ รวมถึงทุกประตูเข้า-ออกที่เปิดให้บริการ พร้อมทั้งติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ทั่วบริเวณรวมกว่า 300 ตัว เพื่อช่วยสอดส่องความปลอดภัยของประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงติดตั้ง กล่องรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ใช้บริการ 2 จุด ได้แก่ บริเวณประตู 1 ฝั่งถนนรัชดาภิเษก และประตู 10บริเวณทางเชื่อมสะพานเขียวกับ Sky Walk อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงให้ข้อเสนอแนะการดูแลพื้นที่ รวมถึงผู้ใช้บริการก็มีส่วนร่วมสอดส่องดูแลรักษาพื้นที่
เขตห้วยขวางสั่งหยุดกิจการสถานบันเทิง MADIX CLUB เปิดให้บริการโดยไม่มีใบอนุญาต
นายไพฑูรย์ งามมุข ผู้อำนวยการเขตห้วยขวาง กทม. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ 2 (กก.ดส.) ร่วมกับสถานีตำรวจนครบาล (สน.) สุทธิสาร นำกำลังเข้าตรวจค้นสถานบันเทิง MADIX CLUB ซอยรัชดาภิเษก 18 ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง หลังได้รับการร้องเรียนเปิดให้บริการเกินเวลาว่า จากการตรวจสอบพบว่า สถานประกอบการดังกล่าวเคยมีใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประเภทแสดงดนตรี แต่ไม่ได้ชำระค่าธรรมเนียม จึงขาดต่ออายุใบอนุญาต ใบอนุญาตเดิมจึงสิ้นสภาพ ประกอบกับเจ้าของเดิมไม่ประสงค์จะทำธุรกิจต่อ จึงมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามายื่นเรื่องต่อสำนักงานเขตฯ ซึ่งได้ออกหนังสือแนะนำให้มาขอใบอนุญาตให้ถูกต้องก่อนจะเปิดกิจการ แต่ผู้ประกอบการฝ่าฝืน จึงต้องดำเนินคดีฐานประกอบการโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ สำนักงานเขตฯ ได้มีคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้หยุดประกอบกิจการจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประเภทแสดงดนตรี พร้อมทั้งประสาน สน.สุทธิสาร จัดส่งดำเนินคดีฐานประกอบการไม่ได้รับอนุญาต และขอบันทึกการจับกุม ตามคำสั่ง คสช.ที่ 22/2558 หยุดประกอบการเป็นเวลา 5 ปี