ทีมข่าววาไรตี้
ฤดูร้อนของประเทศไทยในปี 2566 ระอุ ครอบคลุมหลายภูมิภาค จนดัชนีค่าความร้อนทะยานขึ้นสถิติใหม่ และที่สร้างภาระให้คนไทยจนต้องร้องขอชีวิตคือ “ค่าไฟ” ที่ขยับขึ้นไปเท่าตัว เพราะความร้อนที่เพิ่มขึ้นจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามตัว โลกกำลังส่งสัญญาณว่าต่อไปนี้สิ่งมีชีวิตจะอยู่อย่างยากลำบาก
โครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้และมั่นคง สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Clean, Affordable, and Secure Energy for Southeast Asia : CASE) โดยการสนับสนุนขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ร่วมกับกรุงเทพมหานคร โดยสำนักสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานพันธมิตร 20 หน่วยงาน จัดงาน “Energy เอเนอจิ้น : จินตนาการเพื่อพลังงานที่เป็นมิตรต่อชีวิตและโลก” เมื่อ เร็ว ๆ นี้ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปสู่ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายด้านพลังงานของประเทศ
ภายในงานมีกิจกรรมเผยแพร่ข้อมูลจากโครงการ CASE และกิจกรรมอีกมากมายที่ให้ความรู้เกี่ยวกับพลังงานสะอาดไปสู่การรับมือปัญหาโลกร้อนอย่างยั่งยืน ผ่านนิทรรศการ การออกบูธจากองค์กรภาคีเครือข่าย รวมทั้งการแลกเปลี่ยนมุมมอง ตอบคำถามจากนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และตัวแทนพรรคการเมือง
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเปิดงานว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อวิถีชีวิตของผู้คนบนโลกใบนี้ มีการคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในอนาคตอาจทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มสูงขึ้นทะลุ 1.5 C ซึ่งจะทำ ให้เกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง พายุและภัยธรรมชาติอื่น ๆ บ่อยครั้ง ขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็ได้ขานรับกับการปรับเปลี่ยนเพื่อบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยเฉพาะในภาคพลังงานซึ่งเป็นภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดเมื่อเทียบกับภาค อื่น ๆ ดังนั้น การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล รวมไปถึงการประหยัดพลังงานจึงเป็นทางลัดที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุด โดยวันที่จัดงานได้เชิญชวนให้ประชาชนปิดไฟที่ไม่จำเป็น เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 20.30-21.30 น. ร่วมกับเมืองต่าง ๆ กว่า 7,000 เมืองทั่วโลก ซึ่งกิจกรรมนี้สะท้อนความร่วมมือกันของหลายภาคส่วนรวมถึงประชาชน
วัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงพลังของความร่วมมือในการขับเคลื่อนเรื่องพลังงานที่เป็นมิตรต่อโลกแล้ว ยังมุ่งหวังให้สาธารณะและผู้กำหนดนโยบายมองเห็นทิศทางและความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ที่ไทยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้
ด้าน ดร.สิริภา จุลกาญจน์ นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) ได้เผยผลการศึกษา “เส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคพลังงาน 2050” สำหรับประเทศไทย ในเวทีสนทนา “Energy Conversation : เส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศไทย” เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการกำหนดนโยบายด้านพลังงานอย่างเข้มข้นมากขึ้นและตอบข้อกังวลต่อต้นทุนในการใช้พลังงานหมุนเวียนว่า “โครงการ CASE ได้ทำการวิจัยด้านพลังงานและนำเสนอเส้นทางที่ประเทศไทยสามารถก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ภายใน ค.ศ. 2050 โดยประเมินจากสมมุติฐานที่ระบบไฟฟ้าดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยมีต้นทุนต่ำ (least cost optimization) และใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน
แนวทางที่จะไปสู่เป้าหมายนี้ได้ต้องอาศัยการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ราคาในอนาคตมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีต้นทุนต่ำกว่า และต้องมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เช่น แบตเตอรี่ระบบสมาร์ทกริด (Smart Grid) และการบริหารจัดการแบบกระจายศูนย์
ดร.สิริภา ได้ขยายความเรื่องการใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์เซลล์ว่า ปัจจุบันประชาชนมีทางเลือกในการติดตั้งโซลาร์เซลล์มากขึ้นในราคาที่จับต้องได้มากกว่าในอดีต และมีโมเดลการทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแสงอาทิตย์เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน โรงงาน และสำนักงานขนาดใหญ่ เพราะสามารถประหยัดค่าไฟลงได้มาก แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ค่าไฟของประชาชนทั่วไปที่ยังต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเป็นหลักและไม่ได้ติดโซลาร์เซลล์จะมีแนวโน้มแพงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยโครงสร้างค่าไฟที่ยังไม่ปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ซึ่งหากปล่อยไว้ก็จะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำด้านพลังงานให้สูงขึ้น และภาระจะตกอยู่กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานสะอาดจะทำให้ภาครัฐต้องเพิ่มบทบาทในการกำกับดูแลระบบไฟฟ้าให้เสถียรและมีคุณภาพ โดยต้องอาศัยเทคโนโลยีอย่างแบตเตอรี่ในการกักเก็บพลังงาน รวมทั้งสมาร์ทกริด ที่ยังมีต้นทุนสูงมากในปัจจุบัน ซึ่งเอกชนและประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย
นอกจากนั้น ภาคขนส่งยังต้องปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งสาธารณะ ระบบราง และรถส่วนตัว ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้หากภาครัฐให้การสนับสนุนด้านพลังงานและส่งเสริมให้มีการลงทุนในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง
ดร.วิชสิณี วิบุลผลประเสริฐ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) อธิบายว่า โลกกำลังร้อนขึ้น เรื่อย ๆ และประเทศไทยเป็นหนึ่งในสิบประเทศที่เสี่ยงอย่างมากต่อผลกระทบจากภาวะโลกร้อน หนทางที่จะลดและบรรเทาปัญหานี้ได้คือ ประเทศไทยต้องลดคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะภาคพลังงานที่มีการปล่อยก๊าซนี้มากสุด นอกจากนั้น ยังต้องเลือกใช้พลังงานจากแหล่งที่สะอาด ซึ่งปัจจุบันประชาชนมีความเข้าใจเรื่องแหล่งพลังงานสะอาดและตื่นตัวมากขึ้น เห็นได้จากการ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ และการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว ประชาชนยังไม่สามารถเลือกใช้พลังงานสะอาดได้อย่างเต็มที่ เพราะระบบไฟฟ้าของประเทศไทยยังผลิตจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นหลักอยู่ ดังนั้น ผู้กำหนดนโยบายด้านพลังงานจำเป็นต้องเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการปรับกฎกติกาเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนสามารถใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดได้อย่างเต็มที่
ณัฐวัฒน์ สุวัฒนพงษ์ธาดา ที่ปรึกษาด้านพลังงาน องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ได้เสริมข้อเสนอถึงภาครัฐใน การทำหน้าที่ส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนพลังงานสะอาดในประเทศไทยให้เติบโตว่า “การสนับสนุนโดยภาครัฐเพื่อให้ต้นทุนทางเทคโนโลยีถูกลงนั้นสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยลดต้นทุนของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และจูงใจให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น โซลาร์และแบตเตอรี่ ซึ่งจะช่วยให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ แต่อีกจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องทำควบคู่กันคือ ประชาชนต้องตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน เพราะผลกระทบจากการไม่เปลี่ยนผ่านจะตกที่เราไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นการประหยัดพลังงานคือการเริ่มต้นที่ดี ซึ่งสามารถเริ่มได้จากตัวเอง นอกจากนั้น เรายังควรคอยติดตามแผนพลังงานของประเทศ เช่น แผนพลังงานชาติของกระทรวงพลังงานที่เตรียมจะเปิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าภาครัฐกำลังมุ่งสู่พลังงานสะอาดอย่างแท้จริง รวมถึงพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่กำลังหาเสียงในตอนนี้ว่ามีนโยบายที่เกี่ยวข้องในด้านนี้มากน้อยเพียงใด
ด้าน ดร.ธรินทร์ญา สุภาษา หัวหน้าโครงการด้านนโยบายพลังงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Agora Energiewende ได้ยกตัวอย่างความสำเร็จและความก้าวหน้าในการเปลี่ยนสู่พลังงานสะอาดของประเทศเยอรมนี ว่าประชาชนในเยอรมนีมี ความเข้มแข็งในเรื่องบทบาทของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาล และพรรคการเมืองอย่างมาก เพราะมีการผลักดันจากภาคประชาสังคมและทุกภาคส่วนไปสู่การออกกฎหมายควบคู่กับการให้ความรู้ โดยนำเป้าหมายในการแก้ปัญหาโลกร้อนไปผลักดันเป็นกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) ที่ได้รับการรับรองโดยรัฐสภา ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติตามแทนการสมัครใจ โดยกลไกของความสำเร็จนี้คือประชาชนจะต้องส่งสัญญาณหรือเสียงที่ดังพอเพื่อให้พรรคการเมืองรับรู้ถึงความต้องการ และพรรคการเมืองต้องมีเจตนารมณ์ร่วมกัน จึงทำให้ประเทศเยอรมนีก้าวหน้าในเรื่องพลังงานสะอาดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
เปิดมุมมองการก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงพลังงานของประเทศไทย เพราะราคาค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการใช้พลังงานคือความเดือดร้อนประการหนึ่ง และการไม่เดินหน้าหาหนทางการใช้พลังงานหมุนเวียนและอย่างเต็มกำลังการดำรงชีวิตจะลำบากยากขึ้น เพราะโลกร้อนขึ้นทุกปี.
ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 พ.ค. 2566