นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกทม. เหมือนเจอ “เผือกร้อน” เต็มๆ ที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับ “สวนชูวิทย์”
เบื้องต้น นายชัชชาติชี้ว่า สวนนี้ยังเป็นของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพราะตรวจสอบพบการเสียภาษีจากนายชูวิทย์ และ กทม.ยังไม่เคยเข้าไปใช้ประโยชน์ใดๆ
แต่นายชัชชาติ ก็สั่งการให้ปลัด กทม. ไปขอคัดคำพิพากษาของศาล หรือคำให้การของนายชูวิทย์ ในชั้นศาล เพื่อจะได้เคลียร์ชัดๆ นายชูวิทย์ยกที่ดิน 6 ไร่ ซอยสุขุมวิท 10 ให้เป็นสมบัติแผ่นดิน เรียบร้อยแล้วหรือไม่
และก็ให้สำนัก โยธากทม. ทำหนังสือแจ้งนายชูวิทย์ หากจะดำเนินก่อสร้างต่อ แล้วเกิดปัญหาภายหลัง ต้องรับความเสี่ยงและรับผิดชอบเอง
นายชัชชาติ แม้เป็นเจ้าของฉายา “ผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” แต่พอรับตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. กลับยังไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งใดๆ ออกมาให้เห็นชัดๆ เสียที
งานนี้จริงๆ แล้ว ถือว่าเข้าทาง เขาควรจะมองกรณีของสวนชูวิทย์ เป็นโอกาสทองที่จะทำสร้างผลงาน ไม่ใช่มองเป็นเผือกร้อนลวกมือ
ทั้งนี้ ถ้านายชัชชาติ ยังยึดแนวผู้ว่าฯ อินดี้ หลบหลีกการปะทะเรื่องหนักๆ กับนายชูวิทย์ ยอมให้นายชูวิทย์ฮุบคืนสวนแห่งนี้ไปได้ง่ายๆ
นายชัชชาติสุ่มเสี่ยงจะเจอข้อหา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้เช่นกัน เพราะสังคมจับตาเขาอยู่ ได้เวลามีภาวะผู้นำ หรือพูดภาษาชาวบ้าน “กล้าๆ หน่อย”
แม้ระหว่างนี้ กทม.ยังต้องรอรายละเอียดในคำพิพากษาฉบับเต็ม ที่ไปขอคัดจากศาลมาตรวจสอบ
แต่นักวิชาการ นักกฎหมาย และสื่อมวลชน หลายราย ต่างฟันธงว่า ที่ดินนี้ ได้ตกเป็นของสาธารณสมบัติเรียบร้อย
เทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่เคยมี เนื่องจากมันเป็นข้อพิพาทมาแล้วมากมาย ในลักษณะเดียวกัน
ที่ชัดเจนแล้ว คือมีคำพิพากษาศาลฎีกาถึง 10 คดีเลยทีเดียว หากนำมาเทียบเคียงกับกรณีสวนชูวิทย์แล้ว น่าจะแปลว่า สวนชูวิทย์ได้หลุดจากมือนายชูวิทย์ไปแล้ว
เช่น “การอุทิศที่ดินมีผลทันที โดย “ไม่จำต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์” อีก อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๔๓๗๗/๒๕๔๙”
หรือ “การอุทิศที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ถึงแม้ไม่ได้ถูกใครใช้ประโยชน์ก็ไม่อาจสูญสิ้นไป รวมถึงแม้ประชาชนส่วนใหญ่ จะมิได้ใช้ทางพิพาทตามวัตถุประสงค์ก็ตาม อ้างอิงตามฎีกา เลขที่ ๒๐๐๔/๒๕๔๔”
หรือ “การที่ผู้อุทิศที่ดิน กลับเข้ามาครอบครองที่ดินที่อุทิศไปแล้ว แม้จะกลับมาครอบครองนานเพียงใดก็ไม่ทำให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้อุทิศที่ดินนั้นอีก จะยกเอาอายุความต่อสู้กับแผ่นดิน ไม่ได้ อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ ๒๖๔/๒๕๕๕”
ตัวอย่างฎีกาเหล่านี้ ผู้สนใจ สามารถไปตามอ่านรายละเอียด ทั้ง 10 คำพิพากษาได้ ในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์”
ขณะที่ “ดร.ณัฎฐ์” ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน บอกว่าขอสอนมวยนายชัชชาติ ในกรณีสวนชูวิทย์ โดยระบุว่า การที่นายชูวิทย์ขออุทิศที่ดิน เพื่อแลกกับการ ลงโทษสถานเบา คดีรื้อบาร์เบียร์ ถือว่าการอุทิศที่ดินนั้นสมบูรณ์แล้ว
“แม้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ ตามความประสงค์ของผู้อุทิศ หรือใช้ประโยชน์ไม่ได้ ที่ดินนั้นยังคงสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2544 5112/2538 3008/2535 วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐาน” ดร.ณัฎฐ์ ระบุ
“ผมจะสอนมวยให้ จะได้มีความรู้กฎหมาย ในการทำหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม.จะต้องยึดหลักกฎหมาย เน้นความถูกต้อง ไม่เน้นถูกใจ” นักกฎหมายมหาชน เตือนสตินายชัชชาติ
ว่าแล้ว ดร.ณัฎฐ์ ก็แนะนำ “พี่ศรี” นายศรีสุวรรณ จรรยา คนต้นเรื่องร้องเรียนว่า ควรยกระดับจากแค่ “นักร้อง” ไปฟ้องศาลแพ่งเลย ขอให้ที่ดินดังกล่าวตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และขอไต่สวนฉุกเฉิน ขอความคุ้มครองชั่วคราว ห้ามดำเนินการก่อสร้างในที่ดินพิพาท
ทำเช่นนี้ได้ “พี่ศรี” จะมีภาพทำเพื่อสังคมจริงๆ ดีกว่าแค่เป็นคนหิวแสง ไปเที่ยวจับผิดนายชัชชาติ
ดูแล้ว กรณีสวนชูวิทย์ คงต้องให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด สู้กันยาวเป็นหนังชีวิตอีกนาน.
บรรยายใต้ภาพ
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
ที่มา: นสพ.ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 30 มี.ค. 2566