กทม. – เมื่อวันที่ 31 มี.ค. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดเก็บขยะในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า ก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิดพบว่า ในเขตกรุงเทพฯ มีปริมาณขยะประมาณ 10,000 ตันต่อปี แต่ช่วงโควิดปริมาณขยะน้อยลง เหลือประมาณ 9,000 ตันต่อปี ซึ่งในปัจจุบันปริมาณขยะเริ่มเพิ่มขึ้น ประกอบกับเมืองมีการขยายตัวออกสู่ชานเมือง ทำให้ปริมาณขยะเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเขต ชั้นในปริมาณขยะอาจจะลดลง จึงต้องมีการทบทวนแนวทางระบบจัดการขยะทั้งหมด โดยสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. รายงานว่า มีรถขยะ 147 คันที่ไม่มีพนักงานประจำรถ เข้าใจว่าเป็นช่วงที่มีปริมาณขยะจำนวนมากจึงเช่ารถมาก่อนแต่ไม่มีอัตราพนักงานประจำรถ ทำให้รถเก็บขยะจำนวนหนึ่งประมาณ 300-400 คัน วิ่งเพียงวันละ 1 เที่ยว จากที่ควรวิ่งวันละ 2 เที่ยว
นายชัชชาติกล่าวว่า ขณะนี้กทม.ต้องปรับรูปแบบในการบริหารจัดการขยะใหม่ เพื่อใช้รถขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปรับเส้นทางใหม่ ใช้วิธีการใหม่ นำเทคโนโลยีจีพีเอส มาใช้บริหารจัดการ รวมถึงจะต้องเพิ่มจำนวนพนักงานเก็บให้เหมาะสมกับจำนวนรถ เพื่อบริการประชาชนที่กระจายอยู่เขตชั้นนอกได้ครอบคลุมมากขึ้น ส่วนเขตชั้นในเช่น สีลม เยาวราช ก็ต้องบริหารจัดการด้วยรูปแบบที่แตกต่างออกไป เช่น เพิ่มรอบการเก็บ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ปริมาณขยะมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการในเรื่องเวลาการทิ้งขยะตามรอบเก็บของรถขยะด้วย เพราะอาจจะมีสุนัขมากัด คนมาคุ้ยเกิดความสกปรกได้ กรณีนี้อาจจะต้องใช้วิธีตักเตือน หรือใช้ไม้แข็งควบคู่ เช่น พิจารณาตามระเบียบใบอนุญาต
นายชัชชาติกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้จะต้องเร่งจัดการรถจักรยานยนต์จอดและวิ่งบนทางเท้า ที่ผ่านมากทม. กวดขันมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะนำเทคโนโลยีมาช่วย ซึ่งได้มอบให้สำนักการจราจรและขนส่งศึกษาเทคโนโลยี เอไอ สามารถวิเคราะห์ได้ว่ามีคนนำขยะมาวางทิ้ง มีการจอดรถหรือวิ่งบนทางเท้า ขณะนี้มีหน่วยงานใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้มาร่วมการทดลองโดยเชื่อมต่อระบบกล้องซีซีทีวีในการกำกับดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเมืองมากขึ้นแทนการใช้เทศกิจไปยืนเฝ้า ปัจจุบันสำนักเทศกิจได้ใช้กล้องเข้าไปตรวจจับหาบเร่แผงลอยประมาณ 90 จุด หากมีผู้ค้าเข้ามาในพื้นที่ห้ามทำการค้าสามารถแจ้งเทศกิจไปดำเนินการได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขยะ ขับรถบนทางเท้า หาบเร่แผงลอย ที่มีปัญหา สามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาช่วยได้ และจะมีการขยายผลมากขึ้น
ที่มา: นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 1 เม.ย. 2566