บิ๊กป้อมลง ปาร์ตี้ลิสต์ ขอเป็นผู้นำ ที่ปชช.เลือก
โพลชี้กลุ่มพลังเงียบมีถึงร้อยละ 36.3 ยังเป็นตัวแปรสำคัญ เผยคะแนนขั้วรัฐบาลดีขึ้น กองเชียร์มอง “เสี่ยหนู” เหมาะนั่งนายกฯ ขณะที่ขั้วฝ่ายค้านคะแนนลดลงแต่คนอยากให้ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกฯ ยังสูงถึงร้อยละ 32.1 ชี้พลังเงียบบางส่วนมองแคนดิเดตนายกฯ ฝ่ายค้านยังไม่มีประสบการณ์การเมือง กกต. เตรียมพื้นที่รับสมัคร ส.ส. กทม. มาตรฐานรักษาความปลอดภัยเข้มงวด เตือนซ้ำกองเชียร์อย่าร้องรำทำเพลงจะผิดกฎหมาย “แสวง” แบะท่าจะยังใช้บัตรโหลมีแต่เบอร์กับ ส.ส.ระบบเขต อ้างในอดีตก็เคยใช้ ลักษณะต่างจากบัตรบัญชีรายชื่อช่วยป้อง กันบัตรเสียที่เกิดจากความสับสนในการลงคะแนน แถมประหยัดงบพิมพ์ และจะได้เอาเวลาที่เหลือมาทำงานธุรการอื่น “บิ๊กป้อม” ไม่รู้เหน็บใคร บอกลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เพราะต้องการเป็นนายกฯ ที่ประชาชนเลือก ไม่ขอเป็นผลพลอยได้ที่ไม่เกี่ยวกับการเลือกของประชาชน เพื่อรู้สึกถึงความเป็นผู้นำที่สง่างาม มั่นใจ ไม่โกหกตัวเองว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชน
“บิ๊กป้อม”ต้องเป็นปาร์ตี้ลิสต์
เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความว่า “ผมสื่อสารให้พี่น้อง สื่อมวลชน และประชาชนได้เข้าใจถึงแนวคิดของผมว่าทำไมต้องไปต่อ ผ่านจดหมายทั้ง 6 ฉบับ ซึ่งจบไปแล้ว และต้องขอขอบคุณที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ และค้นหาผ่านกูเกิลในแต่ละ
ฉบับ โดยรวมแล้วมีกว่า 10 ล้านครั้ง ในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ก็คงจะต้องตอบคำถามบ่อยหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะทำเป็นเฟซบุ๊กป้อมรายวัน สำหรับเรื่องปาร์ตี้ลิสต์ คนอื่นจะคิดอะไร แบบไหนก็ปล่อยให้เขาคิดเขาพูดไป ผมเห็นว่า เริ่มจากบัตรเลือกตั้งมี 2 ใบ เลือกพรรคกับเลือกผู้สมัครเขต ไม่มีบัตรเลือกนายกฯ ตัวผมเองนั้นต้องการเป็นนายกฯที่ประชาชนเลือก ถ้าผมไม่มีชื่อลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าประชาชนเลือก ผมด้วย
ไม่ใช่กาบัตรเลือกคนอื่น แล้วผมเป็นแค่ผลพลอยได้ ไม่มีส่วนร่วมอะไรกับการเลือกของประชาชนเลย ผมจึงเลือกที่จะเป็นทั้งหัวหน้าพรรค ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ของพรรค และแคนดิเดต นายกฯ เพื่อให้ผมจะได้มีความมั่นใจว่า คะแนนที่ได้มานั้นประชาชนเลือกผม ผมตั้งใจเป็นผู้นำในระบอบประชาธิป ไตย หากไม่มั่นใจว่าคะแนนที่ได้เป็นคะแนนที่เลือกผม ผมจะรู้สึกถึงความเป็นผู้นำที่สง่างามอย่างมั่นใจได้อย่างไร ผมไม่อยากโกหกตัวเอง ว่า มาจากการเลือกของประชาชน” เพจ พล.อ.ประวิตร ระบุ
“วันชัย”เตือนอย่าด่าส.ว.บ่อย
นายวันชัย สอนศิริ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “โจมตี ส.ว. 250 ระวังจะกลับลำไม่ทัน.” โดยระบุว่า เห็นนักวิเคราะห์วิจารณ์ นักหาเสียง นักปราศรัย อะไร ๆ ก็ยังด่ายังว่า ส.ว. 250 คน ทั้ง ๆ ที่ใครต่อใครเขารู้กันหมดแล้วว่าถ้าใครจะเป็นรัฐบาลต้องมีเสียง ส.ส.เกินกว่ากึ่งหนึ่ง รัฐบาลจะอยู่หรือไป ก็อยู่ที่ ส.ส. ไม่ได้เกี่ยวกับ ส.ว.เลย พรรคการเมืองใดรวมเสียงกันแล้วได้เกินกว่ากึ่งหนึ่ง พรรคการเมืองเหล่านั้นก็จะต้องเป็นรัฐบาล พรรคการเมืองนอกนั้นที่มีเสียงข้างน้อยก็ควรจะเป็นฝ่ายค้าน อันเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย และส.ว. ส่วนใหญ่ก็คงต้องสนับสนุนในหลักการ นี้ โดยโหวตให้คนที่มีเสียงข้างมากเป็น นายกฯ ก็เมื่อมันเป็นเช่นนี้จะปราศรัยโจมตี ส.ว.250 คน ไปทำไม สร้างความเกลียดชังสร้างความบาดหมางกันไปเปล่า ไม่เป็นผลดีแก่ใคร โดยเฉพาะกับพรรคที่พูดเรื่องนี้ ปราศรัยโจมตีกันทุกเวที ระวังยิ่งพูดยิ่งจะเข้าตัว
ระวังบางพรรคต้องกลับลำ
“อยากจะบอกว่าสถานการณ์การ เมืองและการโหวตนายกฯ ครั้งนี้กับครั้งที่ผ่านมามันต่างกันอย่างกับฟ้ากับเหว เอาเวลามาตั้งหน้าตั้งตาหาเสียงให้ได้ ส.ส.ให้มากที่สุดจะดีกว่า ถ้าได้ส.ส. 251 คน ก็ถือว่ามีแต้มต่อ ถ้าได้ ส.ส. 310 คนถือว่าเป็นต่อมาก แต่ถ้าได้ส.ส. 376 คนถือว่าขาดลอย ดังนั้น ถ้ามั่นใจว่าได้ส.ส. 376 คน จะด่าจะว่า ส.ว.อย่างไรก็ได้ แต่ถ้าไม่มั่นใจ ก็หยุดพูดหยุดด่าเรื่องนี้เสียที บางครั้งอาจต้องกลับลำ เพราะเท่าที่ผมรู้ข้อมูลลึก ๆ หน้าฉากกับหลังฉากมันไม่ใช่อย่างนั้น มันหนังคนละม้วน และเมื่อวันนั้นมาถึงอาจจำเป็นต้องพึ่งเขาและอาจจะต้องเอาเขามาร่วมเป็นรัฐบาล ไม่อย่างนั้นจะไปไม่รอด แล้วจะเอาหน้าไปไว้ไหน จะเสียผู้เสียคน จนกลับบ้านไม่ถูกเอานะ ยิ่งวันที่ 19 เม.ย.66 ดาวพฤหัสจะย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษในตำแหน่งราชาโชค คนที่เป็นรัฐบาลเป็นนายกฯจะนำมาซึ่งความรุ่งเรืองเจริญมั่นคง” นายวันชัย โพสต์
เลขากกต.แจงลักษณะบัตร
นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงเรื่องบัตรเลือกตั้ง ว่า นับแต่มีการเลือกตั้งในประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน มีรูปแบบบัตรที่ใช้เลือกตั้ง อยู่ 3 ประเภท คือ บัตรมาตรฐานแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง คือ 1.บัตรที่มีเฉพาะหมายเลข(เบอร์) ผู้สมัคร หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าบัตรโหล จะไม่มีรายชื่อผู้สมัครแต่อย่างใด ทุกการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในประเทศไทยใช้บัตรเลือกตั้งแบบนี้มาโดยตลอด 2.บัตรมาตรฐานแบบบัญชีรายชื่อ คือ บัตรที่มีหมายเลขผู้สมัคร(เบอร์) มีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายของพรรค การเมือง และมีชื่อพรรคในบัตรเลือกตั้ง เริ่มใช้บัตรเลือกตั้งรูปแบบนี้นับแต่รัฐธรรมนูญ ปี 2540 และ 3.บัตรเลือกตั้งแบบเฉพาะ เกิดขึ้นใน ปี 2562 เพื่อรองรับระบบเลือกตั้งแบบคะแนนไม่ตกน้ำตามหลักการของรัฐธรรมนูญ บัตรเลือกตั้งรูปแบบนี้ จึงผสมกันระหว่างบัตรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชีรายชื่อไว้ด้วยกันในใบเดียว และมี 350 แบบ ตามจำนวนเขตเลือกตั้ง
แบะท่าอย่างไรก็ใช้บัตรโหล
“บัตรเลือกตั้งปี 2566 แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชีรายชื่อ จะใช้บัตรมาตรฐาน เหมือนการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา ข้อดีของบัตรมาตรฐานแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง มีความชัดเจนแตกต่างจากบัตรแบบบัญชีรายชื่อ กล่าวคือ นอกจากสีจะต่างกันแล้ว องค์ประกอบภายในบัตรก็จะต่างกัน ทำให้ประชาชนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่สับสน เพราะบัตรประเภทหนึ่งมีเพียงหมายเลข ไม่มีตัวหนังสือ และสัญลักษณ์ใด ต่างจากบัตรอีกประเภทหนึ่งมีครบทั้ง 3 อย่าง เป็นการป้องกันบัตรเสียอันเกิดจากความสับสนลักษณะนี้อีกทางหนึ่งด้วย อีกทั้งยังประหยัดงบประมาณเป็นจำนวนมาก เพราะบัตรมาตรฐานพิมพ์พร้อมกันในครั้งเดียว สะดวกในการบริหารจัดการ นำเวลาที่ต้องมาทำงานธุรการ อาทิ การส่งให้ตรงกับเขต กรณีเป็นแบบเฉพาะ ถ้าส่งผิดเขตจะใช้แทนกันไม่ได้ การพิมพ์บัตรสำรองในแต่ละเขต ก็ต้องมีสำรองครบตามจำนวนเขต เพราะใช้แทนกันไม่ได้ เป็นต้น ทำให้สามารถนำเวลาที่เหลือจากงานธุรการไปทำงานอื่นได้”นายแสวง โพสต์
กกต.เตรียมตัวรับสมัครส.ส.
ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกทม. ลงพื้นที่ติดตามความเรียบร้อยการเตรียมสถานที่และซักซ้อม กระบวนการขั้นตอนการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขต 1-33 กรุงเทพฯ ซึ่งการรับสมัครฯ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-7 เม.ย. เวลา 08.30-16.30 น. นายขจิต กล่าวว่า เชื่อว่าทั้ง 33 เขตเลือกตั้ง จะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น และในวันที่ 2 เม.ย. จะมีการซักซ้อมการรับสมัครแบบบัญชีรายชื่อ ณ อาคารไอราวัตพัฒนา กทม.2 ดินแดง ด้วย เชื่อว่าทุกพรรคจะส่งผู้สมัครแบ่งเขต เนื่องจากต้องสมัครแบบแบ่งเขตก่อนถึงจะมีสิทธิสมัครแบบบัญชีรายชื่อตามที่กฎหมายกำหนด
“สำหรับผลการซักซ้อมเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ยังไม่พบข้อติดขัดใด ๆ สำหรับปัญหาจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เช่น การลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าของประชาชน แต่ไม่ได้ไปใช้สิทธิตามที่ลงทะเบียนไว้และจะขอมาใช้สิทธิในวันเลือกตั้งจริง เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าทำไม่ได้” นายขจิต กล่าว
ย้ำให้ระวังการจัดมหรสพ
นายสำราญ ตันติพานิช ผอ.สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง กล่าวว่า กองเชียร์ สามารถมาร่วมการรับสมัครได้ เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพ แต่เมื่อผู้สมัครได้หมายเลขแล้ว ต้องระมัดระวัง งดการร้องรำทำเพลง เนื่องจากขัดต่อมาตรา 73(3) ห้ามผู้สมัครโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดมหรสพและการรื่นเริง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 กรรมการสรรหาแต่ละพรรค ต้องตรวจสอบคุณสมบัติต้องห้ามอย่างครบถ้วน หากผู้สมัครทราบอยู่แล้วว่าตัวเองมีคุณสมบัติต้องห้าม จะต้องรับโทษตามกฎหมาย
นายสำราญ กล่าวเพิ่มเติมว่า มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดรัดกุม โดยมีกำลังตำรวจ จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจสันติบาล 191 ชุด EOD และชุดควบคุมฝูงชน โดยเฉพาะชุดควบคุมฝูงชน เตรียมไว้วันละไม่ต่ำกว่า 170 นาย และจะปรับกำลังพลไปตามจำนวนของผู้สมัครแต่ละวัน ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1 เม.ย. 66 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ มีประมาณ 4,460,000 คน และมีหน่วยเลือกตั้งทั้งหมด 6,327 หน่วย
พลังเงียบคือตัวแปรสำคัญ
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจ เรื่อง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 2 (ฉบับเต็ม) จากกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไป 53,094,778 คน ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ สุ่มเลือกจำนวน 1,257 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 26-31 มี.ค. โดยเมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจจุดยืนทางการเมืองของประชาชนระหว่าง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 พบว่า กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.1 เป็นร้อยละ 39.1 ในขณะที่กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาลลดลงจากร้อยละ 29.6 เป็นร้อยละ 24.5 และกลุ่มพลังเงียบยังคงเป็นตัวแปรสำคัญไม่เปลี่ยนแปลงคือร้อยละ 36.3
พรรครัฐบาลคะแนนดีขึ้น
ความตั้งใจจะเลือกพรรคการเมือง แบ่งออกระหว่างกลุ่มแฟนคลับพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล กับกลุ่มแฟนคลับพรรคร่วมฝ่ายค้าน เปรียบเทียบครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 พบว่า ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลรวมกันเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 51.6 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.7 ในครั้งที่ 2 โดยพบว่าเป็นการเทคะแนนมาจากกลุ่มพลังเงียบ ในขณะที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านตอนนี้รวมกันลดลงจากร้อยละ 43.3 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 36.3 ในการสำรวจครั้งที่ 2 โดยในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล อันดับหนึ่งได้แก่ พรรคภูมิใจไทยเพิ่มจากร้อยละ 19.1 ในครั้งที่ 1 มาเป็น ร้อยละ 20.5 ในครั้งที่ 2 รองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์เพิ่มจากร้อยละ 13.4 ในครั้งที่ 1 มาเป็นร้อยละ 14.2 ในครั้งที่ 2
อันดับสามได้แก่ พรรค พปชร. เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.1 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 10.9 ในครั้งที่ 2 อันดับที่สี่ ได้แก่ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.3 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 9.3 ในครั้งที่ 2 เป็นต้น ในขณะที่ ความตั้งใจของประชาชนจะเลือก ส.ส. ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า อันดับแรก พรรคเพื่อไทยลดลงจากร้อยละ 36.9 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 29.1 ในการสำรวจครั้งที่ 2 รองลงมาคือ พรรคก้าวไกล ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.9 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 6.7 ในครั้งที่ 2 ส่วนพรรคเสรีรวมไทยยังคงเท่าเดิมคือ ร้อยละ 0.5 ในการสำรวจทั้งสองครั้ง
ชื่อ”อุ๊งอิ๊ง”ยังคะแนนนำอยู่
ผลสำรวจคนที่ประชาชนอยากได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปในกลุ่มแฟนคลับของพรรคร่วมรัฐบาล อันดับแรกยังคงเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19.0 ในการสำรวจครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 20.4 ในครั้งที่ 2 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีคะแนนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.3 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.3 ในการสำรวจครั้งที่ 2 ในขณะที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากร้อยละ 12.2 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 12.9 ในครั้งที่ 2 และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 3.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ผลสำรวจส่วนของฝั่งพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า อันดับแรกยังคงเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่สัดส่วนลดลงจากร้อยละ 39.7 ในการสำรวจครั้งแรก มาอยู่ที่ร้อยละ 32.1 ในครั้งที่ 2 ในขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กลับมีคะแนนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.7 ในครั้งที่ 1 มาอยู่ที่ร้อยละ 9.3 ในครั้งที่ 2
ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มพลังเงียบยังคงเป็นตัวแปรสำคัญเพราะจะเปลี่ยนไปมาได้โดยง่าย กลุ่มพลังเงียบน่าจะเป็นกลุ่มชี้เป็นชี้ตายชัยชนะ กลุ่มสวิงที่เปลี่ยนใจง่ายยังไม่เห็นผลงานของพรรคร่วมฝ่ายค้านและบางส่วนมองว่าแคนดิเดต นายกฯ ของพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง.
ที่มา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 2 เม.ย. 2566