ชำระคดี”สวนชูวิทย์”เป็นสาธารณสมบัติแล้ว เตือน”ผู้ว่าฯชัชชาติ”จะเจอคุกหากยังนิ่งเฉย
ผู้จัดการรายวัน360 – พิสูจน์ลงลึก 5 เหตุการณ์ “ชูวิทย์” มอบที่ดินปากซอย 10 ถ.สุขุมวิท เป็นสวนสาธารณะ สอดคล้องแนวคำพิพากษาศาลฎีกากว่า 10 คดี ที่ชี้ชัดที่ดินมอบเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เตือน “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” จะเจอคุก หากยังยืนกรานอุ้ม “ชูวิทย์”
ผู้จัดการรายวัน360 – พิสูจน์ลงลึก 5 เหตุการณ์ “ชูวิทย์” มอบที่ดิน ปากซอย 10 ถ.สุขุมวิท เป็นสวนสาธารณะ สอดคล้องแนวคำพิพากษาศาลฎีกากว่า 10 คดี ที่ชี้ชัดที่ดินมอบเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เอาคืน ไม่ได้ คำให้การต่อศาลที่ “ชูวิทย์” เขียนเอง ยิ่งมัดแน่น เตือน “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” จะเจอคุก หากยังยืนกรานอุ้มชูวิทย์
เปิดข้อมูลเบื้องลึกเพื่อพิสูจน์ว่า ที่ดินบริเวณปากซอยสุขุมวิท 10 ที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ยื่นคำให้การต่อศาลฎีกาว่าจะเสียสละให้เป็นสวนสาธารณะ โดยได้เปิดเป็น “สวนชูวิทย์” ให้คนกรุงเทพฯเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ จนเป็นเหตุบรรเทาโทษใน “คดีรื้อบาร์เบียร์” นั้น น่าจะเป็นที่ดินสาธารณะไปแล้ว แต่วันนี้บริษัทของครอบครัวนายชูวิทย์ ได้มีการปิดเพื่อรื้อถอน สวนสาธารณะ และกำลังก่อสร้างอาคารสูง 51 ชั้นแทน
ที่ผ่านมา ผู้จัดการรายวัน 360 ได้นำเสนอคำพิพากษาศาลฎีกา 10 ฉบับ กรณีการอุทิศที่ดินเป็นสวนสาธารณะ หรือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สรุปความสั้นๆ ได้ว่า การอุทิศที่ดินเอกชนให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามกฎหมาย และตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้น “ให้แล้ว ให้เลย” เพียงแค่แสดงเจตจำนงเท่านั้นก็มีผลทันที โดยไม่ต้องรอการโอนเสร็จสิ้นเสียก่อน และเปลี่ยนแปลงไม่ได้
นั่นคือ ที่ดิน “สวนชูวิทย์” เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว
ทั้งนี้ มีคำ 2 คำ ที่นายชูวิทย์ที่ได้พูดต่างกรรมต่างวาระในเรื่อง ที่ดินดังกล่าว นั่นคือคำว่า “เสียสละ” และ “สวนสาธารณะ” ซึ่งความหมายคำว่า “เสียสละ” หมายถึง “ให้โดยยินยอม หรือให้ด้วยความเต็มใจ” ส่วนคำว่า “สวนสาธารณะ” หมายถึง “สวนเพื่อประชาชนทั่วไป”
ดังนั้นคำว่า “เสียสละที่ดินเพื่อเป็นใช้เป็นสวนสาธารณะ” จึงแปลความได้ว่า “การยินยอมให้ที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์เป็นสวนเพื่อประชาชนทั่วไป”
เปิดไทม์ไลน์ “ที่ดินชูวิทย์” กลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตอนไหน?
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน นายชูวิทย์ ได้ซื้อที่ดินจากบริษัทไฟแนนซ์ ทิสโก้ บริเวณติดถนนสุขุมวิทซอย 10 และขับไล่ผู้ที่ทำบาร์เบียร์อย่าง อุกอาจ เมื่อวันที่ 26 ม.ค.46 มีการนำชายฉกรรจ์นับร้อยคนพร้อมรถ แบ็กโฮ รื้อบาร์เบียร์ 60 ร้านในบริเวณดังกล่าว ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองหลวง
ต่อมาตำรวจดำเนินคดี อัยการส่งฟ้องศาลอาญากรุงเทพใต้ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ
นับตั้งแต่มีการดำเนินคดี นายชูวิทย์ก็ได้ปรับที่ดินตรงนั้นมา เป็น “สวนสาธารณะ”ให้ประชาชนได้ใช้ฟรี เพื่อปรับภาพลักษณ์ตัวเองประการหนึ่ง และใช้ประโยชน์ในการบรรเทาโทษต่อศาลฎีกาด้วยเป็นอีกประการหนึ่ง
ดังนั้นที่ดินแห่งนี้ ได้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไปตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค.48 หรือเมื่อ 18 ปีมาแล้ว!
สรุป 5 เหตุการณ์ “ชูวิทย์” ยกที่ดินให้สาธารณะ
เหตุการณ์ที่ 1 โดยวาจา – ในวันเปิด “สวนชูวิทย์” เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.48 นายชูวิทย์ ระบุชัดเจนว่าได้เสียสละที่ดินให้ใช้ประโยชน์เป็น สวนสาธารณะ เพื่อเป็นปอดของ กทม. และให้ประชาชนสามารถใช้ได้ฟรี โดยไม่ได้มีการระบุระยะเวลา
“ยืนยันว่าที่ดินตรงนี้เป็นของผม และตระกูลกมลวิศิษฎ์ แต่ขอ เสียสละให้เป็นสวนของกทม. ผมเคยบอกจะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของ กทม. ต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านบาท ว่าตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาทเงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยวางแผนจะใช้พื้นที่นี้สร้างโรงแรมระดับสี่ดาว และจ่ายค่าออกแบบไปแล้ว 30 ล้านบาท แต่ก็ยกเลิกโครงการไปแล้ว”
เป็นการแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนมาก ว่าเป็นการเสียสละที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะโดยไม่ได้กำหนดเวลา
การเสียสละที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์สาธารณะ แม้จะด้วยวาจาแต่ก็จะมีผลทันที เหตุการณ์นี้เทียบเคียงได้กับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2555 ที่ระบุว่า การอุทิศด้วยวาจามีผลตามกฎหมายสมบูรณ์ และการอุทิศที่ดินมีผลทันทีโดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อีกตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 4377/2559
เหตุการณ์ที่ 2 คำให้การต่อศาลฎีกาของนายชูวิทย์ เมื่อวันที่ 15 ต.ค.58 โดยเปลี่ยนคำให้การมารับสารภาพ แล้วอ้างเรื่อง “ที่ดิน” ซึ่งเป็น “ที่ดินพิพาท” ว่า ได้ดำเนินการให้เป็นสวนสาธารณะทั่วไป ยกเลิกโครงการก่อสร้างอาคารสูง และจะทำต่อไป เพื่อแสดงความสำนึกผิด (ซึ่งแปลว่า ไม่ได้กำหนดระยะเวลา)
การยื่นเอกสารครั้งนั้น ทำให้ศาลฎีกาเลื่อนการอ่านคำพิพากษา ในวันเดียวกันนั้น ไปอีก 3 เดือนเศษ คือ วันที่ 28 ม.ค.59
นอกจากนี้ยังมีเอกสารสำคัญ เป็น “คำให้การรับสารภาพของ นายชูวิทย์” ที่ยื่นต่อศาลฎีกา และใจความที่สำคัญอยู่ ที่เขาระบุว่า
“ภายหลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 129 (คือนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์) ก็ได้สำนึกผิดอย่างมาก จึงได้ล้มเลิกโครงการสุขุมวิท 10 ตามเจตนาเดิม ซึ่งโครงการดังกล่าวนั้นหากสามารถทำได้สำเร็จก็จะทำให้จำเลยที่ 129 ได้รับรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
“แต่จำเลยที่ 129 รู้สำนึกอย่างแท้จริงทั้งที่บาร์เบียร์ตามแผนเดิม ทั้งหลายถูกรื้อถอนเป็นพื้นที่ว่างเปล่าแล้ว และสามารถก่อสร้างโครงการสุขุมวิท 10 ได้โดยทันที
“แต่จำเลยที่ 129 ก็ไม่ทำโครงการต่อ โดยยอมทิ้งผลประโยชน์มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน และยังได้นำเงินส่วนตัวมาลงทุนก่อสร้างสวนสาธารณะ ชื่อสวนชูวิทย์ ด้วยเงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ดังเช่นสวนสาธารณะทั่วไป และเป็นปอดใจกลางกรุงเทพมหานคร
“ซึ่งประชาชน ก็ได้ใช้ประโยชน์เรื่อยมาตั้งแต่สร้างเสร็จจนถึง ปัจจุบัน แล้วการดูแลรักษาสวนชูวิทย์ดังกล่าว แต่ละเดือนโดยรวม ประมาณปีละ 828,000 บาท ตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบันปี 2558 รวมระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินประมาณ 8,280,000 บาทโดยไม่มีรายได้แม้แต่น้อย เป็นการชดเชยและแสดงถึงความสำนึกในการกระทำความผิด บนที่ดินแปลงดังกล่าวอย่างแท้จริง
“ซึ่งปัจจุบันจำเลยที่ 129 ก็ยังให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์สาธารณะจากสวนชูวิทย์ และจะทำต่อไปเพื่อแสดงความสำนึกผิดในการกระทำ ของตนเอง ที่กระทำต่อผู้อื่นและละเมิดกฎหมายของรัฐ … “
คำให้การนี้ นายชูวิทย์เขียนเอง ก็แสดงว่าเป็นการเสียสละไม่ทำโครงการต่อยอมทิ้งผลประโยชน์ แบบไม่กำหนดระยะเวลา
และยังก่อสร้างสวนชูวิทย์เป็น “สวนสาธารณะทั่วไป” และเป็น “ปอดใจกลางกรุงเทพมหานคร” คำ 2 คำนี้ แสดงให้เห็นการให้ใช้ประโยชน์สาธารณะชัดเจน จึงเป็นการยกที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว
คำให้การนี้ยังยืนยันด้วยจะทำ “ต่อไป” จึงเท่ากับไม่ได้กำหนด ระยะเวลาด้วยเช่นกัน และไม่ได้เป็นอย่างที่นายชูวิทย์อ้างว่า ยื่นต่อศาลว่าจะให้เป็นสวนสาธารณะแค่ 12 ปี ซึ่งเป็นคำโกหก
เพราะในข้อเท็จจริงก็คือ นายชูวิทย์ พอถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก แต่ให้ลดโทษจากจำคุก 5 ปี เหลือ 2 ปี เมื่อวันที่ 28 ม.ค.59 ก็ติดคุกจริงไม่ถึงปี ได้ออกจากเรือนจำ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.59
พอได้รับอิสรภาพ นายชูวิทย์ ก็ออกลายทันที ภายในระยะเวลาเพียงปีเดียวหลังออกจากเรือนจำ ก็ทำการ “ปิดสวนชูวิทย์” ในวันที่ 30 ธ.ค.60
ทั้งนี้ แม้นายชูวิทย์จะปิดสวนไป และพยายามเอาที่ไปทำธุรกิจต่อ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของตัวเอง แต่คำให้การในการอุทิศที่ดินต่อศาลฎีกาได้มีบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน จึงมีผลตามกฎหมายโดยสมบูรณ์อีกเช่นกัน และการอุทิศที่ดินเป็นที่สาธารณะไม่อาจสูญสิ้นไป
เหตุการณ์ที่ 3 ศาลได้บันทึกในคำพิพากษาเหตุในการลดโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี ไม่ใช่เพราะเป็นคำให้การใหม่มารับสารภาพในชั้นศาลฎีกา แต่มาจากการได้เยียวยาผู้เสียหายไปจำนวนหนึ่งแล้ว กับเหตุผลเพราะมีการนำที่ดินมาเป็นสวนสาธารณะ โดยศาลฎีกาได้พิพากษาในการลดโทษอันมีเหตุมาจากที่ดินที่ยื่นคำให้การ ดังนี้
“นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจำเลยที่ 129 นำที่ดินพิพาทมาก่อสร้างเป็น สวนสาธารณะ ให้ประชาชนใช้พักผ่อน ไม่ได้นำที่ดินพิพาทไปก่อสร้างศูนย์การค้าย้อนยุคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายและรายได้จำนวนมาก บ่งบอกว่าจำเลยที่ 129 และฝ่ายจำเลย รู้สำนึกผิดที่ได้กระทำไป
“ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลย ที่ร่วมกันกระทำผิดโดยจำคุกคนละ 5 ปีนั้น จึงหนักเกินไป เห็นควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี”
หลังจากยื่นคำให้การไปแล้ว วันที่ 28 ต.ค.58 นายชูวิทย์ ยังได้ยื่นเอกสารท้ายคำแถลงเพิ่มเติม เต็มไปด้วยแผนที่ภาพถ่ายของสวนสาธารณะ
เพราะฉะนั้น การที่ศาลฎีกาลดโทษจากศาลอุทธรณ์ ส่วนหนึ่งจึงมาจากการนำที่ดินซึ่งพิพาทมาก่อสร้างเป็น “สวนสาธารณะ” ในคำพิพากษาศาลฎีกา โดยระบุว่าในคำให้การของนายชูวิทย์ว่าเป็น “สวนสาธารณะทั่วไป” ย่อมมีสถานภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และเนื่องจากคำให้การในการยื่นเรื่องที่ดินให้เป็นสวนสาธารณะนี้ไม่ได้กำหนดระยะเวลา จึงย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว ไม่สามารถนำกลับมาคืนได้
เหตุการณ์ที่ 4 – บทความเผยแพร่สาธารณะ เขียนโดย นายชูวิทย์ เอง โดยหลังจากที่นายชูวิทย์ ติดคุก ตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค.59 ก็ได้เลื่อนชั้นนักโทษ ได้รับการลดโทษ และพระราชทานอภัยโทษตามลำดับ จนได้รับการปล่อยตัวเมื่อ วันที่ 17 ธ.ค.59 พ้นโทษมาไม่ถึง 1 เดือน ก็มาเขียนบทความใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 ม.ค.60 ในหัวข้อเรื่อง บทความพิเศษ : เรียนรู้คุก (1)
ในบทความนั้น นายชูวิทย์ ระบุถึงเหตุที่ได้ลดโทษ เพราะการ นำที่ดินมาเป็นสวนสาธารณะ ว่า
“แม้ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ตัดสินจำคุก 5 ปี คำรับสารภาพของผมแม้ว่าศาลฎีกาจะไม่รับพิจารณา แต่ก็ได้ลดโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี เหตุเพราะผมสำนึกผิด
“และได้พยายามเยียวยา โดยนำเอาที่ดินมูลค่ามหาศาล ทำเป็น สวนสาธารณะปลูกต้นไม้ให้เป็นประโยชน์กับประชาชน สามารถเข้ามา พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ทั้งโรงแรม สำนักงานล้อมรอบ แทนที่จะนำที่ดินมาทำประโยชน์หาผลตอบแทนทางธุรกิจ”
แต่หลังจากพ้นโทษมาแล้วนายชูวิทย์ ก็ได้เขียนบทความอ้างเองว่า ที่ผ่านมาให้ชั่วคราว และจะเอาที่ดินคืน ความตอนหนึ่งว่า
“ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ซื้อที่ดินแปลงนี้มา เมื่อมีปัญหาเป็นคดีความผมจึงนำที่ดินมาเป็นปอดให้กับคนกรุงเทพฯ
“แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาชั่วคราว เพราะในอนาคตนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะนำไปทำประโยชน์อันใด ถือเป็นเรื่องอนาคต เพราะเป็นที่ดินของผม”
จุดนี้ นายชูวิทย์เข้าใจผิดแล้ว การให้ที่ดินเพื่อเป็นสวนสาธารณะ เพื่อให้พลเมืองได้ใช้ประโยชน์ เป็นสาธารณสมบัติทันที ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกลับมาตามความเข้าใจไปเองของนายชูวิทย์ได้
เหตุการณ์ที่ 5 พฤติการณ์นายชูวิทย์ ที่ให้ประชาชนได้ใช้เป็นสวนสาธารณะเป็นเวลา 12 ปี จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย
ทั้งนี้ “สวนชูวิทย์” ได้เปิดให้ประชาชนใช้เป็นสวนสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค.48 และได้ใช้ต่อเนื่องมาจนถึง วันที่ 30 ธ.ค.60 แม้ไม่มี โดยวาจา การใช้ประโยชน์ยาวนานขนาดนั้นย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย
ดังปรากฏอ้างอิงได้ตาม คำพิพากษาศาลฎีกา เลขที่ 6067/2552 และ เลขที่ 2526/2540 ซึ่งระบุว่า การอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อาจกระทำโดยปริยายก็ได้ เช่น ยินยอมให้ประชาชนใช้สอยโดยไม่หวงห้าม การให้พลเมืองได้ใช้ที่ดินเอกชนเป็นสวนสาธารณะ ตามวาจาที่นายชูวิทย์ เคยให้ไว้จึงไม่สามารถย้อนกลับมาได้แล้ว
และเมื่อนายชูวิทย์ ปิดสวนสาธารณะไปเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.60 ก็ไม่มีพลเมืองหรือประชาชนเข้าไปได้ใช้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหายไป
เพราะเมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาศาลฎีกาเลขที่ 2004/2544 นั้น ชี้ชัดว่า การอุทิศที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่อาจสูญสิ้นไปเพราะการไม่ได้ใช้ แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะมิได้ใช้ทางพิพาทตามวัตถุประสงค์ก็ตาม
และข้อสำคัญกว่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกา เลขที่ 11089/2556 ชี้ชัดว่า ผู้อุทิศที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว จะขอยกเลิกการอุทิศที่ดิน ไม่ได้
รื้อสวนสาธารณะสร้างตึกระวังสร้างคดีใหม่
การที่นายชูวิทย์รื้อสวนสาธารณะ แล้วสร้างอาคารใหม่มิกซ์ยูส 51 ชั้น ที่ชื่อ เทนธ์ อเวนิว (Tenth Avenue) และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ก็ออกมารับประกัน อุ้มนายชูวิทย์ โดยไม่ดูเรื่องความ ผูกพันของข้อกฎหมายทั้งปวง โดยนายชัชชาติได้ให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 27 มี.ค.66 ว่า
“ได้รับรายงานเมื่อช่วงเช้า จากนายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัด กทม. พบว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวยังไม่ได้ยกให้เป็นที่สาธารณะ และ กทม.ไม่ได้มีส่วนร่วมเข้าไปปรับปรุงให้เป็นพื้นที่สาธารณะแต่อย่างใด เนื่องจากเป็น ที่ดินเอกชน มีการจ่ายภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างต่อเนื่องตามกฎหมาย ซึ่งมีการจ่ายภาษีแล้วกว่า 3 ล้านบาท”
ทั้งนี้ การรื้อ “สวนชูวิทย์” นั้นต้องพิจารณาว่า
ประการที่หนึ่ง เป็นบุกรุกสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ …
ประการที่สอง เป็นการทำลายสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่…
ประการที่สาม ออกใบอนุญาตก่อสร้างได้อย่างไร ถ้าจะอ้างว่าไม่ทราบเรื่องสาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนหน้านั้น แต่เมื่อรับทราบถึง ปัญหาว่าสวนสาธารณะแห่งนี้ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว จะเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างหรือไม่ และจะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่
ประการที่สี่ ผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือผู้สนับสนุนทางการเงิน เป็น ผู้สมรู้ร่วมคิด หรือกระทำการในการทำลายสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือไม่
ดังนั้น เชื่อว่าเรื่องนี้ ต้องถึงมือ ป.ป.ช.แน่นอน และหากนาย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ยังออกมาปกป้องนายชูวิทย์ อยู่เหมือนเดิม ก็เสี่ยงติดคุก และเชื่อว่าก็คงจะรอดยาก.
บรรยายใต้ภาพ
สวนชูวิทย์ ที่ถูกรื้อและเตรียมสร้างโครงการ Tenth Avenue
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
ที่มา: นสพ.ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 3 เม.ย. 2566