สันติสุข มะโรงศรี
ขอเรียนตั้งแต่ต้นว่า ประเด็นเรื่องสะพานสาธารณะแสนสิริ กับสวนสาธารณะชูวิทย์นั้น ผมได้ติดตามตรวจสอบและ นำเสนอมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยทำรายการวิทยุ ทำรายการทีวี และปัจจุบันที่สถานีท็อปนิวส์ เพราะฉะนั้น การตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับที่คุณเศรษฐาจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ และ คุณชูวิทย์ออกมาแฉจีนเทา แฉพนันออนไลน์ โจมตีพรรคการเมือง ฯลฯ แต่อย่างใดนะครับ
1. สะพานสาธารณะแสนสิริ(1) สะพานข้ามคลองพระโขนง ในบริเวณโครงการของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีการเก็บค่าผ่านทาง รถยนต์ 20 บาท จักรยานยนต์ 10 บาท ต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี
ทั้งที่สะพานดังกล่าวยกให้เป็นสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน และถนนเชื่อมสะพานก็เป็นถนนภาระจำยอมตั้งแต่ต้น
(2) ผมได้นำเสนอข้อมูลหลักฐานสำคัญผ่านรายการรู้ทันคดีโกง สถานีโทรทัศน์ท็อปนิวส์ เห็นได้อย่างชัดเจน ในรายงาน EIA ของแสนสิริ ตั้งแต่ก่อนสร้างสะพานนั้น ระบุว่ามี “ถนนภาระจำยอม” อยู่ทั้งสองฝั่งสะพาน เชื่อมต่อออกไปสู่ถนนสาธารณะทั้งสองด้านอย่างไร โดยไม่มีการระบุว่าจะเก็บค่าผ่านทาง เพราะฉะนั้น ใครจะไปเก็บค่าผ่านทาง หรือกีดขวางทำให้เสื่อมความสะดวกในการใช้ภาระจำยอมนั้น หาได้ไม่
(3) ล่าสุด ปลัดกทม. นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กทม. โดยสำนักงานเขตพื้นที่ จะเร่งทำหนังสือแจ้งบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ทราบ และทำการรื้อถอนการปิดกั้นและยกเลิกเก็บค่าผ่านทางดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) สามารถขอคัดค้านคำสั่งปกครองของกรุงเทพมหานครต่อศาลปกครองได้ หากไม่มีการคัดค้านคำสั่งปกครองและไม่รื้อถอนที่กั้นทางกรุงเทพมหานครจะดำเนินการตามกฎหมาย เนื่องจากมี ความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานปกครอง
(4) ตลอดเวลาที่คุณเศรษฐา ทวีสิน บริหารและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของแสนสิริมานั้น เหตุใดจึงปล่อยให้มีการจัดเก็บค่าผ่านทางจากผู้ใช้สะพานและถนนภาระจำยอม ไม่เป็นไปตามรายงาน EIA เข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมาย บ้านเมือง ละเมิดสิทธิของประชาชนทั่วไป ทั้งคนยากคนจน คนหาเช้ากินค่ำ ไม่นำพาต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด
หลังจากนี้ จะทำอย่างไร? เอกชนยังจะสู้ต่อในชั้นศาลปกครอง? หรือจะ ดื้อแพ่งเก็บต่อไปเรื่อยๆ ?
หรือจะรื้อด่าน เลิกเก็บค่าผ่านทาง พร้อมทั้งขอโทษสังคม และคืนเงินที่เคยเก็บไปทั้งหมดแก่ผู้ถูกเรียกเก็บไปโดยมิชอบ โดยปราศจากสิทธิอำนาจที่จะมาเรียกเก็บ?
ใครต้องรับผิดชอบอย่างไร? 2. สวนสาธารณะชูวิทย์ ล่าสุด ปลัดกทม. นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สำนักการโยธาทำหนังสือแจ้งไปยังผู้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารบนพื้นที่สวนชูวิทย์ให้ทราบว่ามีการร้องเรียนเกี่ยวกับการก่อสร้างพร้อมเสนอแนะให้หยุดหรือชะลอการก่อสร้างไว้ก่อน
กทม.ตรวจสอบพบว่า มีการเสียภาษีตลอด 3 ปีที่ผ่านมา และในคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีรื้อบาร์เบียร์ มีถ้อยคำในส่วนท้ายกล่าวถึงการนำที่ดินพิพาทมาก่อสร้างเป็นสวนสาธารณะเพื่อให้ประชาชนใช้พักผ่อน
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความยุติธรรมกับทุกฝ่าย กรุงเทพมหานครจะมีการตั้งคณะกรรมการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการสอบสวนเกี่ยวกับการบุกรุกที่หรือทางสาธารณประโยชน์ พ.ศ. 2539 เพื่อติดตามตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าที่ดินแห่งนี้ว่าเป็นที่ดินสาธารณะหรือไม่ ซึ่งเมื่อทราบผลการตรวจสอบที่ชัดเจนแล้วก็จะสามารถดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปได้
(1) ย้อนไปเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2546 นายชูวิทย์กับพวกร่วมกันกระทำการรื้อบาร์เบียร์อย่างอุกอาจ เพื่อจะเอาที่ดินมาทำธุรกิจส่วนตัว ถูกดำเนินคดีอาญา
ระหว่างสู้คดีในศาล นายชูวิทย์จัดแถลงข่าวเมื่อ 22 พ.ค.2548 ประกาศไม่ต้องการนำที่ดินผืนดังกล่าวไปทำธุรกิจส่วนตัวอีกแล้ว และจะทำสวนสาธารณะให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
“… สวนนี้ชื่อว่าสวนชูวิทย์ แต่ความจริงแล้วอยากเรียกว่าสวนสะใจมากกว่า ผมเป็นคนพูดแล้วทำจริงไม่ใช่พวกปากพล่อย วันๆ เอาแต่ออกมาแถลงข่าวเรื่องหอยเรื่องปู …”
ต่อมา วันที่ 24 ธ.ค. 2548 นายชูวิทย์แถลงข่าว เปิดตัวสวนชูวิทย์ ระบุว่า
“… ผมเคยบอกว่าจะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของ กทม. และต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านบาทว่าตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาทเงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยวางแผนไว้ว่าจะใช้พื้นที่นี้สร้างโรงแรมระดับ 4 ดาว และได้จ่าย ค่าออกแบบไปแล้ว 30 ล้านบาท แต่ก็ยกเลิกโครงการ ดังกล่าวไป …”
เป็นการประกาศเจตนารมณ์อุทิศให้เป็นสวนสาธารณะ เป็นสาธารณสมบัติแผ่นดินให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือไม่?
(2) ความจริงปรากฏว่า ชูวิทย์ได้นำเรื่องที่ตน ไม่เอาที่ดินไปทำธุรกิจ แต่ทำสวนสาธารณะให้ประชาชน ได้ใช้ประโยชน์แทน นำไปอ้างต่อสู้คดีในศาลด้วย
ปรากฏทั้งใน “คำให้การต่อศาล” ของนายชูวิทย์เอง ใน “คำพิพากษาของศาลฎีกา” คดีรื้อบาร์เบียร์ ที่พิพากษาบรรเทาโทษให้นายชูวิทย์ ก็ระบุว่า การนำที่ดินมาทำสวนสาธารณะนั้น สะท้อนว่ารู้สำนึกผิดแล้ว จึงกำหนดโทษจำคุกแค่ 2 ปี (ลดจากชั้นอุทธรณ์ จำคุก 5 ปี) และสุดท้าย ก็ติดคุกจริงๆ ไม่ถึงปี
ถือเป็นการประกาศเจตนาอุทิศให้เป็นสวนสาธารณะ เป็นสาธารณสมบัติแผ่นดินให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือไม่?
(3) การอุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่ไปดูการเสียภาษี ว่าใครเสีย ไม่ใช่ไปดูการทำสวน ว่าใครทำไม่ใช่ไปดูว่าชื่อในทะเบียน ยังเป็นของใครแนวทางคำพิพากษาศาลฎีกา มากมายหลายคดี ถือแนวทางเดียวกัน คือ
…การอุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานตลอดมาว่า
การแสดงเจตนายกที่ดินให้เป็นที่สาธารณะด้วยวาจาโดยไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลเป็นที่สาธารณะตามกฎหมาย
….แม้จะไม่แก้ชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดินก็เป็นที่สาธารณะได้
และเมื่อที่ดินตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ย่อมไม่สามารถโอนให้แก่บุคคลอื่นโดยทางนิติกรรมได้อีก แม้จะมีการโอนไปให้บุคคลอื่นก็ไม่มีผลให้ที่ดินหมดสภาพจากการที่สาธารณะ
(4) หลังนายชูวิทย์ได้ออกจากคุกมาไม่นาน ก็ประกาศรื้อสวนสาธารณะชูวิทย์ จะเอาที่ดินไปทำโครงการอสังหาริมทรัพย์หรูหรา บนที่ดินมูลค่าหลายพันล้านบาท
หากทำเช่นนี้ได้ กรณียกที่ดินให้เป็นที่สาธารณสมบัติแผ่นดินทั่วประเทศ ที่ยังไม่เปลี่ยนชื่อในทะเบียน เมื่อจังหวะเหมาะสม เจ้าตัวหรือทายาทก็ยังสามารถเอาที่ดินคืนมาเป็นสมบัติส่วนตัวได้ แล้วจะวุ่นวายขนาดไหน
(5) ประเด็นจึงมีอยู่ว่า ที่ดินคดีรื้อบาร์เบียร์ที่นายชูวิทย์ เคยประกาศทำสวนสาธารณะให้ประชาชนใช้ประโยชน์ ร่วมกัน โดยไม่ระบุเงื่อนไขว่าจะทำกี่ปี และยังได้นำไปอ้างกับศาลในการต่อสู้คดีด้วยนั้น ตกเป็นที่สาธารณสมบัติแผ่นดิน ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามกฎหมายแล้ว หรือไม่?
กทม.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการบุกรุกที่สาธารณะ นำไปก่อสร้างโครงการของนายชูวิทย์
กทม.กำลังถูกจับตาว่า จะเอื้อประโยชน์แก่นายชูวิทย์ หรือไม่ เพราะผู้บริหารปัจจุบัน เคยอยู่ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาก่อน
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร นายชูวิทย์ในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย ยังมีสิทธิ์ในการชี้แจงต่อสู้ต่อไป รวมทั้งในชั้นศาลปกครอง รวมถึงหากเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เอื้อประโยชน์แก่ผู้ใด ก็อาจโดนอาญา 157 ได้เช่นกัน
ที่มา: นสพ.แนวหน้า ฉบับวันที่ 3 เม.ย. 2566