
(23 ต.ค. 68) เวลา 15.45 น. นายไทวุฒิ ขันแก้ว รองปลัดกรุงเทพมหานคร ประธานวางพวงมาลาในพิธีถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรกรุงเทพมหานคร ร่วมพิธี ณ พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระลานพระราชวังดุสิต เขตดุสิต
พระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมรูปทรงม้า จัดสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จอร์จ เซาโล (Georges Saulo) ช่างปั้นชาวฝรั่งเศส เป็นผู้ปั้นพระบรมรูป ซึ่งพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปประทับเป็นแบบให้นายช่างปั้นหุ่น ขณะเสด็จประทับอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยองค์พระบรมรูปมีขนาดเท่าพระองค์จริง ประทับอยู่บนหลังม้าพระที่นั่ง ต่อมาพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในพิธีชักผ้าแพรคลุมเปิดพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2451
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระบรมราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ 20 ก.ย. 2396 ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เมื่อแรกประสูติทรงได้รับพระนามว่า “เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์” ต่อมาได้รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏจารึกพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร” เมื่อพระชนมพรรษาครบ 15 พรรษา พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ ในวันที่ 1 ต.ค. 2411 และประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกในวันที่ 11 พ.ย. 2411 โดยทรงได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว” ต่อมาเมื่อพระชนมพรรษาครบ 20 พรรษา ได้มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่สองขึ้น เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2416 และได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2453 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริพระชนมพรรษา 58 พรรษา ทรงครองราชสมบัติยาวนานถึง 43 ปี
ตลอดรัชสมัยการครองสิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างอเนกอนันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูประเบียบบริหารราชการ โดยทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนากระทรวงมหาดไทยขึ้น และได้ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย โดยทรงจัดรวบรวมหัวเมืองที่สำคัญขึ้นเป็นเขตการปกครองเรียกว่า “มณฑลเทศาภิบาล” และได้ทรงริเริ่มจัดการ “สุขาภิบาล” ในเขตกรุงเทพมหานคร และตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อทดลองให้ประชาชนรู้จักการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น และทดลองจัดระเบียบการปกครองระดับตำบล หมู่บ้าน ขึ้นเป็นครั้งแรกที่บ้านเกาะ ณ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นอกจากนี้ ทรงริเริ่มนำระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาทมาใช้ในประเทศไทย รวมถึงการทรงริเริ่มสร้างรถไฟสายแรก คือ กรุงเทพมหานคร-อยุธยา การก่อตั้งการประปา การไฟฟ้า ไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ การสื่อสาร และยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการขุดคลองเพื่อการคมนาคม เช่น คลองประเวศบุรีรมย์ คลองแสนแสบ คลองเปรมประชากร คลองทวีวัฒนา คลองรังสิตประยูรศักดิ์ ทั้งยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองส่งน้ำประปาจากแหล่งน้ำดิบเชียงรากสู่สามเสน ซึ่งพระราชกรณียกิจนานับประการข้างต้นนี้ ยังคงได้รับการสืบสานต่อยอด เพื่อการพัฒนาประเทศไทยจวบจนถึงปัจจุบัน
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงบำเพ็ญ เพื่อความผาสุกของปวงชนชาวไทย พระองค์จึงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า “พระปิยมหาราช” อันหมายถึง “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของประชาชน” รัฐบาลจึงกำหนดให้วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันปิยมหาราช” เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้ร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์
—– (จิรัฐคม…สปส. รายงาน)