
(30 มิ.ย. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค (H.E. Mr. Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ได้แก่ ศาสตราจารย์มิโฮ มาซูเรียว (Prof. Miho Mazereeuw) ผู้อำนวยการ MIT Climate Mission และผู้อำนวยการ Urban Risk Lab และ ดร. ไซ เรเวลา (Dr. Sai Ravela) นักวิจัยหลักจากภาควิชา Earth, Atmospheric, and Planetary Sciences (EAPS) ร่วมแถลงข่าวก่อนประชุม Disaster Management Conference: Technology, Innovation, and Research for Effective Disaster Response and Prevention (การประชุมด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ: เทคโนโลยี นวัตกรรม และการวิจัย เพื่อการรับมือและป้องกันภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ) ณ ศูนย์ประชุม One Bangkok Forum ชั้น 2 โครงการ One Bangkok เขตปทุมวัน
การประชุมครั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ร่วมกับ MIT ASEAN Initiative และหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AmCham) เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการหารือแบบเปิดเกี่ยวกับนโยบายการบริหารจัดการภัยพิบัติ เน้นย้ำความเชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ในการวิจัยและแนวปฏิบัติด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ ตลอดจนเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนสหรัฐฯ ที่ให้บริการด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ ได้พบปะพูดคุยกับผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ องค์กรนอกภาครัฐ และผู้นำทางความคิดในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวถึงสถานการณ์ภัยพิบัติว่า เป็นประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน หรือการขยายตัวของเมือง (urbanization) ที่นำไปสู่ความหนาแน่นของประชากร รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ในเมืองมีความรุนแรงกว่าพื้นที่ต่างจังหวัดอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเมืองมีความหนาแน่นมากกว่า นอกจากนี้ การที่ผู้คนในปัจจุบันต้องพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้การดำรงชีวิตในช่วงเกิดภัยพิบัติเป็นไปได้ยาก เช่น เพียงแค่ไฟฟ้าดับไม่กี่ชั่วโมงก็อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการใช้ชีวิต
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวด้วยว่า หัวใจสำคัญในการรับมือกับภัยพิบัติประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ การป้องกัน การแก้ปัญหา การบรรเทาภัย และการฟื้นฟู ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอาศัยองค์ความรู้ที่ดีและความร่วมมือจากหลายภาคส่วน การร่วมมือกับ MIT ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะ MIT มีองค์ความรู้ที่ดี มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการทำให้เมืองสามารถรับมือ รอดพ้นจากภัยพิบัติ และฟื้นคืนสู่ภาวะปกติได้ดียิ่งขึ้น
เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยาวนานมากว่า 190 ปี เราเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิด เป็นมิตรที่ดีต่อกัน และเป็นหุ้นส่วนที่ร่วมมือกันในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง การค้า การลงทุน การศึกษา และสาธารณสุข ครอบคลุมประเด็นกว้างขวาง และแน่นอนว่า “การรับมือกับภัยพิบัติ” ก็เป็นหนึ่งในด้านที่เราร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ยกตัวอย่างการตอบสนองต่อเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ กรุงเทพมหานครสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกัน สถานทูตของเราก็ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในเหตุการณ์นี้อย่างใกล้ชิด เพราะแผ่นดินไหวส่งผลต่อกรุงเทพฯ และประเทศไทยโดยรวม แม้ว่าทุกฝ่ายจะรับมือได้ดี แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะปรับปรุงเสมอ ยังมีหนทางในการเตรียมความพร้อมและการตอบสนองให้ดียิ่งขึ้น เชื่อว่า MIT ได้นำเอางานวิจัย ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยต่าง ๆ มาร่วมแบ่งปันสิ่งที่พวกเขากำลังดำเนินการในการประชุมครั้งนี้ และความมุ่งหวังที่สำคัญที่สุดคือ การสานต่อความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกา กับประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร ตลอดจนประชาชนของทั้งสองประเทศ ที่จะร่วมมือกันเตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤตครั้งต่อไป เพราะวิกฤตครั้งใหม่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ นี่คือความจริงของโลกยุคปัจจุบัน และเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อช่วยชีวิต ช่วยเหลือผู้คน และตอบสนองเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ในนามของสหรัฐอเมริกา รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นการประชุมในวันนี้ และรู้สึกซาบซึ้งกับความมุ่งมั่นอันเข้มแข็งที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจังกับประเทศไทย และกับกรุงเทพมหานคร เพราะมิตรภาพคือการที่เพื่อนช่วยเหลือเพื่อน
ด้าน ศาสตราจารย์มิโฮ กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีและการออกแบบเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ว่า การสร้างเมืองที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีต่อความเสี่ยง จำต้องอาศัยการบูรณาการหลากหลายศาสตร์เป็นองค์รวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบชุมชนและสภาพแวดล้อม ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล แนวทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การออกแบบพื้นที่สาธารณะและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มักถูกละเลยจากแวดวงการจัดการภัยพิบัติ ทั้งที่องค์ประกอบเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่นคงและประโยชน์ร่วมของชุมชนในระยะยาว ภายใต้บริบทของทรัพยากรที่จำกัด การใช้แบบจำลองสถานการณ์และการวางแผนเชิงคาดการณ์จึงจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยระบุลำดับความสำคัญและสร้างภาคีเพื่อความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การใช้กรอบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ยังจะช่วยสนับสนุนการออกแบบชุมชนที่ยืดหยุ่นต่อความเสี่ยงด้านภัยพิบัติได้อย่างเหมาะสมในบริบทพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป โดยอาศัยการสื่อสารและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในระดับท้องถิ่น การบรรยายนี้เป็นการนำเสนอกรณีศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และตัวอย่างโครงการที่ดำเนินงานโดย MIT Urban Risk Lab และเครือข่าย Resilience Collective ในประเทศไทย โดยแนวทางของ MIT เน้นการผสมผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Al) การสร้างนวัตกรรม และความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภาคีในพื้นที่ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ใช้งานได้จริงสู่ผลกระทบ (impact) ที่จับต้องได้ ผ่านวิธีการแบ่งปันและร่วมสร้างองค์ความรู้ (co-creation) ที่จะสนับสนุนให้ชุมชนเข้มแข็งมากขึ้น ตลอดจนเสริมสร้างสุขภาวะกายและใจของคนให้ดียิ่งขึ้น โครงการต่าง ๆ จึงจะครอบคลุมทั้งด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การออกแบบ ไปจนถึงระบบประสานงานและประเมินภัยพิบัติแบบเรียลไทม์สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมและแผ่นดินไหว ทั้งนี้ การผสมผสานเทคโนโลยีและศาสตร์การออกแบบจะเป็นการสร้างเกราะภูมิคุ้มกันต่อภัยพิบัติ อันจะส่งเสริมทั้งความงามและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้แก่เมืองและชุมชน ตลอดจนผู้ที่เปราะบางที่สุดในช่วงเวลาวิกฤต
ดร. ไซ กล่าวว่า ศูนย์กลางเมืองในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญกับภัยคุกคามทางสภาพภูมิอากาศที่ซับซ้อนและทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งจากพายุไซโคลน น้ำท่วม การรุกล้ำของน้ำเค็ม และการเสื่อมถอยของระบบนิเวศ ภัยเหล่านี้มักเชื่อมโยงและส่งผลต่อเนื่องกันในรูปแบบที่ซับซ้อน ทำให้กลไกการวางแผนแบบเดิมไม่สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบรรยายนี้จะนำเสนอแนวทางใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ผสมผสานระหว่างแบบจำลองทางกายภาพ ระบบปัญญาประดิษฐ์ และมิติของมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพแม้ในภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับวาระการประชุมประกอบไปด้วย การนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งในโอกาสนี้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้นำเสนอกรณีตัวอย่างการบริหารจัดการภัยพิบัติของกรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน (ศาสตราจารย์มิโฮ และ ดร. ไซ) จาก MIT มาร่วมบรรยายด้วย นอกจากนี้ ยังมีการอภิปรายแบบกลุ่มจากภาคอุตสาหกรรม โดยตัวแทนจาก One Bangkok, Honeywell, SCG, McKinsey & Co. และ Western Digital
—————————