(24 มิ.ย. 68) เวลา 14.00 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุลรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษอากาศ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร แถลงความร่วมมือเป็นเจ้าภาพกิจกรรม “นักสืบฝุ่น The series สงครามฝุ่นเมือง” เพื่อเปิดเวทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ จากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ให้เหมาะสมกับบริบทเมืองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการลดและบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยกิจกรรมครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นในวันนี้ ภายใต้หัวข้อ “ฝุ่นเมืองในมุมกว้าง” เป็นการรับฟังความเห็นจากหลายภาคส่วน ทบทวนนโยบายสู้ฝุ่นของ กทม. และนำเสนอ 10 ข้อเสนอหลักของ กทม. ต่อรัฐบาล รวมถึงแนะนำแผนปฏิบัติการสู้ฝุ่น 1-8-3

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า ฝุ่น PM2.5 เป็นอีกปัญหาหลักที่กรุงเทพมหานครให้ความสำคัญ เพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเป็นวงกว้าง ดังนั้น กรุงเทพมหานครจำเป็นต้องกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เหมาะสมกับสภาพกิจกรรมต่าง ๆ ของเมืองให้ครอบคลุมในทุกมิติ โดยมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มิติที่ 1 คือ การเฝ้าระวังและติดตามมลพิษ โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเหตุรถยนต์ควันดำผ่านช่องทาง Traffy Fondue LINE Alert การขยายเครือข่ายเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศให้ครอบคลุมโดยตั้งเป้าหมายให้ครบ 1,000 จุด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศที่สามารถวิเคราะห์และเชื่อมโยงได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นอัตราการระบายอากาศ ทิศทางและความเร็วลม จุดความร้อนจากการเผาในที่โล่ง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลผ่านแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ AirBKK
มิติที่ 2 คือ การกำจัดต้นตอ โดยจัดทำแผนการตรวจ เดือนละ 2 ครั้ง การจัดทำแผนที่เสี่ยง (Risk Map) ด้วยการนำข้อมูลจุดกำเนิดฝุ่นลงในแผนที่ เพื่อเป็นการติดตามตรวจสอบมลพิษในกรุงเทพมหานคร การควบคุมการเผาในกรุงเทพมหานครให้เป็นศูนย์ ด้วยการสนับสนุนเกษตรกรให้ลดการเผา เช่น สนับสนุนจุลินทรีย์ย่อยสลาย รถอัดฟาง น้ำหมักชีวภาพ
มิติที่ 3 คือ การป้องกันดูแลสุขภาพของประชาชน โดยมอบนโยบายให้โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 437 แห่ง สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 ให้แก่นักเรียน เช่น การปักธงเป็นสีตามค่าฝุ่นในแต่ละวัน การอ่านค่าฝุ่น การปฏิบัติตัวเมื่อค่าฝุ่นเกินค่ามาตรฐาน และได้มีการขยายผลไปยังโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดเอกชน รวมไปถึงศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน สำนักงานเขต ชุมชนในกรุงเทพมหานคร การเพิ่มห้องปลอดฝุ่น เปิดคลินิคมลพิษทางอากาศโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 8 แห่ง การพบแพทย์ผ่าน Telemedicine แอปพลิเคชัน
“หมอ กทม.”การเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกตันไม้ล้านต้นเพื่อกรองฝุ่นด้วย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า กิจกรรม “นักสืบฝุ่น The series สงครามฝุ่นเมือง” จะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ให้เหมาะสมกับบริบทเมืองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการลดและบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน
”เรื่องฝุ่นเป็นเรื่องที่ กทม. ทําตลอดทั้งปี โดยเฉพาะเรื่องการเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ให้ชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วการต่อสู้กับฝุ่นต้องนำเทคโนโลยี นำองค์ความรู้มาใช้ เรื่องหลักๆ ในรอบนี้ก็คือการที่เราต้องดูต้นตอของฝุ่น เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไปออกมาตรการที่ไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องควันดํา เราไปตรวจมาตรฐานควันดํา 30% โดยใช้แผ่นกระดาษกรอง ปรากฏว่ารถที่ผ่านควันดํายังปล่อย PM2.5 อยู่เยอะ อันนี้อาจจะเป็นเรื่องนึง หรือถ้าเป็นฝุ่นทุติยภูมิการไปตรวจควันดำอาจจะไม่ช่วย ซึ่งก็จะมีหลายปัจจัยต้องไปดูให้ละเอียดว่ามาจากไหน ถ้าเรารู้ต้นตอจากการแก้ปัญหาฝุ่น จะดีกว่านี้จะเข้าใจ ออกกฎหมาย ออกระเบียบได้เข้มงวดขึ้น การกำหนดมาตรฐานต่างๆ จะถูกต้องมากขึ้น“ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว
10 ข้อเสนอหลักของ กทม. ต่อรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นเมือง
สำหรับ 10 ข้อเสนอหลักของ กทม. ต่อรัฐบาล ประกอบด้วย ด้านการจราจรและขนส่ง1.ยกระดับมาตรฐานการตรวจควันไอเสียรถยนต์ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรฐานการตรวจ ควันไอเสียรถยนต์ การสั่งห้ามใช้งานรถที่มีค่าควันดำเกินค่ามาตรฐาน 2.เพิ่มอำนาจการตรวจรถตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป (เรียกหยุด ตรวจสอบ และจับปรับรถควันดำ) ให้กรุงเทพมหานคร เพิ่มอำนาจในฐานะ “ผู้ตรวจการขนส่ง” หรือ “เจ้าพนักงานจราจร” 3.การจัดการรถเก่า โดยยกเลิกมาตรการลดภาษีสำหรับรถเก่า ปรับลดระยะเวลาการตรวจสภาพรถยนต์จาก 7 ปี เป็น 5 ปี และปรับมาตรฐานการตรวจสภาพรถ 4.การควบคุมปริมาณรถใหม่ สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 5.การติดตัวกรองมลพิษอนุภาคจากเครื่องยนต์ดีเซล (Diesel Particulate Filter: DPF) รถตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป เครื่องยนต์ดีเซลอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ต้องติดตัวกรองมลพิษอนุภาคจากเครื่องยนต์ดีเซล (DPF) ด้านอุตสาหกรรม 6. การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม (ทั้ง 236 แห่ง) ควบคุมการเผาชีวมวลรอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร การติดตั้งเครื่องตรวจวัดมลพิษทางอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง (CEMS) ทุกโรงงาน หรือจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ระบายออกจากสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้ำ 7.การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ด้านการบริหารจัดการ8.ควบคุมการเผาชีวมวลรอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพิ่มความเข้มข้นการควบคุมการเผาชีวมวล 9.การให้กรุงเทพมหานครจัดเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม 10.การย้ายทำเรือกรุงเทพฯ (ท่าเรือคลองเตย) หรือจำกัดปริมาณการเข้า-ออก ของยานพาหนะ ย้ายท่าเรือคลองเตยออกจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือจำกัดปริมาณการเข้า-ออก ของยานพาหนะ
ทั้งนี้ กิจกรรม “นักสืบฝุ่น The series สงครามฝุ่นเมือง” กำหนดจัดขึ้นจำนวน 7 ครั้ง ระหว่างเดือนมิถุนายน – พฤศจิกายน 2568 รายละเอียดตามที่แสดงในปฏิทิน “นักสืบฝุ่น The series สงครามฝุ่นเมือง” โดยหน่วยงาน ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษอากาศ (ศวอ.) และสภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร จะหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ และในทุก ๆ กิจกรรม จะมีการสรุปสิ่งที่ได้จากการแลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการในการจัดการฝุ่นเมืองที่เหมาะสมกับบริบทของกรุงเทพมหานคร และเตรียมรับมือกับวิกฤตฝุ่นในช่วงปลายปีต่อไป
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมตามแผนงานสำคัญของประเทศ และได้ให้ความสำคัญกับ “การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5” โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมเชิงรุกที่ช่วยแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและมีความเสี่ยงสูง ร่วมกับเครือข่ายวิจัย สถาบันวิจัย และหน่วยงานต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนผลผลิตและผลสำเร็จจากผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ รวมทั้งขยายผลต่อยอดสู่ชุมชน และจับมือกับหน่วยงานผู้ใช้ประโยชน์ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมีตัวอย่างผลงานวิจัยที่สำคัญในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ การวิเคราะห์แหล่งที่มาของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ กลไกการเกิดฝุ่นทุติยภูมิบริเวณใกล้ผิวดินด้วยเทคนิคองค์ประกอบทางเคมีและสถานะทางอายุของฝุ่น การวิเคราะห์สัดส่วนมลพิษจากแหล่งกำเนิดภายในและภายนอกกรุงเทพฯ ที่ส่งผลต่อความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ระบบสนับสนุนการเฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 (DustBoy) ผลกระทบเชิงสุขภาพ คุณภาพชีวิต และเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขของฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ รวมทั้งระบบตรวจวัดควันดำ แบบระยะไกลและประเมินการระบายฝุ่น PM2.5 จากค่าควันดำที่วัดได้ ทั้งนี้ วช. ได้ยกระดับความร่วมมือเครือข่ายวิจัยเป็น “ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษอากาศและภูมิอากาศ (HTAPC)” ภายใต้แผนงานการพัฒนาการเป็นศูนย์กลางกำลังคนระดับสูง (Hub of Talent) และศูนย์กลางการเรียนรู้ (Hub of Knowledge) ของอาเซียน ซึ่ง วช. มุ่งหวังให้เกิดการสานต่อความร่วมมือทางวิชาการที่เข้มแข็ง ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การปฏิบัติ และ การพัฒนานโยบายสาธารณะบนพื้นฐานของหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมที่มีอากาศสะอาดและสุขภาวะที่ดีสำหรับประชาชนทุกคน
รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษอากาศ กล่าวว่า ผ่านมา ศวอ. ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับกรุงเทพมหานครในการแก้ไขปัญหามลพิษอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ในเขตพื้นที่เมือง ซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดย ศวอ. ได้ดำเนินกิจกรรมส่งแสริมและผลักดัน โครงการ “เขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone, LEZ) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในปีแรก โดยเลือกเขตปทุมวัน เป็นพื้นที่ทดลอง การดำเนินงานเน้นการเข้ามามีส่วนร่วมในการลดมลพิษอากาศของกลุ่มผู้ประกอบกิจการและประชาชนในพื้นที่โดยสมัครใจ ซึ่งการดำเนินงานในระยะแรกนี้ ได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง จนมีการพิจารณาขยายผลสู่โครงการเขตมลพิษต่ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระยะที่ 2 โดยขยายพื้นที่ดำเนินการของเขตปทุมวัน และเพิ่มพื้นที่ดำเนินการอีก 4 เขต ได้แก่ คลองสาน ป้อมปราบศัตรูพ่าย คลองเตย และบางรัก เป็นมาตรการในการร่วมผลักดันและบูรณาการการดำเนินกิจกรรมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษอากาศอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นได้ต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับ “แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่นละออง” โดยกลุ่มเป้าหมายนอกจากสถานประกอบการที่ดำเนินการในระยะที่ 1 แล้ว ได้ขยายไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่สำคัญอีก 1 กลุ่ม คือ ศาสนสถาน โดยเฉพาะศาลเจ้า ซึ่งมีการจุดธุปและก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะ PM2.5 ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรม Clean Air Art ในหัวข้อ “อากาศดี๊ดี ของคนกรุงเทพ” เป็นการประกวดวาดภาพของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในพื้นที่ 5 เขตโดยในปีนี้ ศวอ. อยู่ในระหว่างการประสาน เพื่อขยายผลการดำเนินการต่อไป โดยหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนด้วยดีเหมือนอย่างที่ผ่านมา
ด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ กล่าวว่า “สภาลมหายใจกรุงเทพฯ เป็นการรวมตัวของภาคประชาสังคมที่เน้นการใช้ความรู้ในการขับเคลื่อนเพื่อลดปัญหาคุณภาพอากาศ ปัญหานี้มีที่มาทั้งในรูปแบบละอองฝุ่น (ขนาดตั้งแต่ 2.5 ไมครอน ขึ้นไป) และละอองก๊าซ (ขนาดตั้งแต่ 2.5 ไมครอนลงไปเรื่อย ๆ) มีอันตรายต่อสุขภาพในระดับที่ต่างกัน แต่มีแหล่งที่มาจากปัจจัยพื้นฐานใกล้เคียงกัน การแก้ปัญหานี้จำต้องอิงฐานทางวิทยาศาสตร์ให้มาก เพื่อเราจะได้จัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขที่ต้นเหตุหลัก ๆ บางประเภทก่อน ข้อเสนอที่สภาลมหายใจกรุงเทพฯ มี คือ การใช้สูตรทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนแบบพร้อมกันในแต่ละเขตภูมิศาสตร์อากาศ (Air Shed บางครั้งนิยมเรียกว่าลุ่มอากาศ) โดยขอชวนเชิญให้กทม.เริ่มนัดประชุมถอดบทเรียนหลังผ่านฤดูที่มีวิกฤตมลพิษทางอากาศแล้วใน 1 เดือน จากนั้นจะได้มีแผนในการลงมือแก้ไขปรับปรุงแบบมุ่งผลลัพธ์ไปตลอด 8 เดือนต่อมา เพื่อให้กรุงเทพฯและพื้นที่ในลุ่มอากาศเดียวกัน มีสภาวะคุณภาพอากาศที่ดีกว่าปีก่อนหน้าให้ได้ใน 3 เดือน ที่หย่อมความกดอากาศจะกดลงมาหรือสูตรทำงาน 1-8-3
อย่างไรก็ดี เนื่องจากแหล่งผลิตมลพิษทางอากาศในเขตกรุงเทพฯเองก็ปลดปล่อยมลพิษตลอดปี ซึ่งต่างกับเขตชนบท ดังนั้น พื้นที่กรุงเทพฯก็ควรมีมาตรการที่เข้มขึ้นเรื่อย ๆ ในการผลักให้ปัญหาความกระจุกตัวของแหล่งผลิตมลพิษเหล่านี้ต้องก้าวสู่เทคโนโลยีที่สูงขึ้นๆ ไม่หยุด และมีมาตรการการคลังท้องถิ่น เช่นภาษีท้องถิ่นที่กดดันให้ผู้ไม่ปรับตัวต้องมีค่าภาษีหรือค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นๆจนอยู่ต่อไปแบบเดิมไม่ได้ สอดรับกับทิศทางของร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดที่รัฐสภากำลังจะคลอดออกมาบังคับใช้ในเร็วๆนี้…”