กทม. คัดเลือกพันธุ์ไม้ตกแต่งเมืองตามโอกาสสำคัญ พร้อมนำกลับมาฟื้นฟูที่สวนสาธารณะ
นายประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม (สสล.) กทม. กล่าวกรณีมีข้อสังเกต กทม. เปลี่ยนไม้ประดับในพื้นที่บ่อยครั้งและต้นไม้ที่นำมาปลูกมักจะตายเร็ว อาจเกิดจากไม่หมั่นบำรุงรักษา หรือคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศว่า สสล. จะประดับตกแต่งเมืองในโอกาสสำคัญต่าง ๆ โดยทุกครั้งจะกำหนดจุดประดับตกแต่งในสถานที่ หรือบนถนนสายสำคัญ ๆ อาทิ ตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน บนถนนราชดำเนิน สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เกาะกลางโรงแรมรัตนโกสินทร์ พื้นที่โดยรอบมณฑลพิธีท้องสนามหลวง เป็นต้น โดยการประดับตกแต่งเมืองทุกครั้งจะคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับโอกาสสำคัญแต่ละโอกาส พร้อมคำนวณระยะเวลาวงรอบการปรับเปลี่ยนกล้าไม้ตามช่วงเวลาให้มีความเหมาะสม พร้อมทั้งดูแลรดน้ำต้นไม้อย่างสม่ำเสมอ โดยการจัดหากล้าไม้ได้ใช้ราคากลางของไม้ดอกไม้ประดับปี 2556 ของสำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม เป็นราคากลางในการจัดซื้อ
ส่วนการปรับเปลี่ยนไม้ดอกไม้ประดับในจุดต่าง ๆ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามรอบอายุของแต่ละชนิดพันธุ์ไม้ เพื่อให้คงความสวยงามตลอดช่วงงาน โดยหลังจากเสร็จสิ้นการประดับตกแต่งเมืองในโอกาสต่าง ๆ สสล. ได้นำกล้าไม้กลับมาฟื้นฟูและดูแลตามสวนสาธารณะต่าง ๆ โดยนำไปปลูกเสริมในพื้นที่สวนสาธารณะต่าง ๆ ของ กทม. ต่อไป
กทม. เน้นย้ำมาตรการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดโรคฝีดาษลิงในกรุงเทพฯ
นายสุนทร สุนทรชาติ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย (สนอ.) กทม. กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมสถานพยาบาลสังกัด กทม. เพื่อรองรับสถานการณ์ หากเกิดการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิง (MPOX) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า สนอ. ได้ประสานความร่วมมือกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิง (MPOX) ภายหลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศที่น่ากังวล ขณะเดียวกันได้เตรียมความพร้อมสถานพยาบาลสังกัด กทม. เพื่อรองรับสถานการณ์หากเกิดการแพร่ระบาดในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเน้นย้ำมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิง (MPOX) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับลักษณะอาการ การแพร่เชื้อ รวมถึงให้คำแนะนำวิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคฝีดาษลิงโดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยว หรือย่านพักอาศัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติจากกลุ่มประเทศแอฟริกา โดยในระยะฟักตัว 7 – 21 วัน ผู้ป่วยมักเริ่มด้วยอาการไข้ และผื่น จะเริ่มจากตุ่มแดง ประมาณ 5 – 7 วันหลังรับเชื้อ และตุ่มจะเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง และแห้งเป็นสะเก็ด ตุ่มมีจำนวนมากน้อยตามความรุนแรงของโรค และการตอบสนองของผู้ป่วย รวมระยะเวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์
การแพร่กระจายเชื้อและการติดต่อส่วนใหญ่โดยการสัมผัสผื่นผู้ป่วยโดยตรงในระยะแพร่เชื้อ หรือสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยยืนยันอาจติดต่อทางละอองฝอยได้ โดยเฉพาะหากมีการทำหัตถการที่ทำให้เกิดละอองฝอยขนาดเล็ก (contact transmission & droplet transmission) หากพบผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อ (suspected case) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ให้แจ้งทีมสอบสวนโรคในพื้นที่ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) และสำนักอนามัย กทม. ขณะที่การรักษาเป็นแบบประคับประคองตามอาการของผู้ป่วย เช่น ลดไข้ ลดอาการไม่สบายจากตุ่มหนอง และดูแลไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ต้องแยกกักผู้ป่วย 21 วัน ส่วนการรักษาจำเพาะ ยาต้านไวรัสจำเพาะเป็นยาที่ใช้ในการรักษาอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย ได้แก่ ยา Tecovirimat (TPOXX) ซึ่งมีจำนวนจำกัด และให้ในรายที่ป่วยรุนแรงเท่านั้น