(29 ม.ค. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงกรณีเหตุนักเรียนถูกทำร้ายร่างกาย ณ โรงเรียนย่านพัฒนาการ 26 ว่า จากหลักฐานที่เรามี เด็กนักเรียนผู้ก่อเหตุไม่ใช่เป็นเด็กพิเศษ ไม่ได้เข้าชั้นเรียนเด็กพิเศษ ส่วนที่บอกว่าเขาเป็นเด็กพิเศษอาจจะเป็นการสังเกต เรื่องนี้ต้องระวังเพราะเรามีเด็กพิเศษอยู่ในโรงเรียนกทม.หลายคน เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าทุกคนกลัวเด็กพิเศษไปหมด เด็กพิเศษมีหลายรูปแบบอย่าเอาเรื่องนี้เป็นประเด็น รอเรื่องการสืบสวนให้ชัดเจนก่อนว่าปัญหาเป็นอย่างไร รวมถึงเรื่องการบูลลี่ด้วย
สำหรับมาตรการความปลอดภัย จริง ๆ แล้วคือเรื่องนี้คงต้องระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะเรื่องการเอาอย่างกัน เลียนแบบกัน เรื่องแรก เรื่องการตรวจอาวุธต้องเข้มข้นขึ้น ตรวจตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน รวมทั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในโรงเรียนก็ต้องระวังด้วย เช่น เรื่องกรรไกร เรื่องมีดทําอาหารที่อยู่ในโรงเรียน อาจต้องมีการเก็บให้เป็นระเบียบมากขึ้น ที่ผ่านมาก็มีการตรวจอยู่ แต่อาจจะไม่ได้ 100% ทุกวัน เพราะว่าเกี่ยวกับเรื่องของเวลา เรื่องของสิทธิของนักเรียนด้วย ผู้ปกครองก็อาจจะมาช่วยกันดูด้วย เพราะบางทีเป็นนักเรียนหญิงก็ต้องระวังเหมือนกัน
เรื่องที่ 2 คือการหาข้อมูลให้ชัดเจน เช่น ถ้าเกิดเหตุปุ๊บหรือเด็กสังเกตเห็นพฤติกรรมต่าง ๆ ทำยังไงที่ให้เด็กกล้ามาบอกเรา หรือครูแนะแนว ครูโฮมรูม สามารถสังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติได้เพื่อป้องกันเหตุ ต้องสร้างบรรยากาศที่เด็กสามารถกล้ามาบอกเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงผู้ปกครองเองก็อาจจะมีส่วนสังเกต หรือเด็กมาเล่าให้ฟัง เพราะว่าจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา ความร่วมมือจากทุกส่วนเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นเรื่องที่ต้องเน้นต่อไป
เรื่องที่ 3 อาจจะเป็นเรื่องการเสริมสร้างหลักสูตรให้เด็กในเรื่องจิตใจ ไม่เน้นเรื่องวิชาการอย่างเดียว โดยเรื่องการดูแลความรู้สึก เรื่องจิตใจ เรื่องการบอกปัญหาต่าง ๆ ต้องให้ครูช่วยรับฟัง ซึ่งรวมทั้งบริบทต่าง ๆ ของชุมชนพื้นที่ด้วย อย่างโรงเรียนนี้อาจจะมีปัญหาเรื่องมีเยาวชนจากด้านนอก มีพฤติกรรมที่เกเรนิดหน่อย ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ผู้ปกครองให้ความเห็นที่น่าสนใจ บอกว่าจริง ๆ แล้ว ไม่อยากให้เด็กแต่งชุดไปรเวท เพราะจะทำให้ไม่สามารถแยกเด็กเกเรที่อยู่นอกโรงเรียนกับเด็กนักเรียนที่แต่งไปรเวทมาโรงเรียนได้ ซึ่งก็น่าสนใจ เป็นมิติหนึ่งที่อาจจะไม่ใช่มิติเรื่องสิทธิเสรีภาพของเด็ก แต่เป็นเรื่องบริบทโดยรอบและเรื่องความปลอดภัยของเด็ก ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องให้ไปประเมินว่าจะมีผลเรื่องความปลอดภัยหรือไม่
อีกวิธีคือร่วมมือกันระหว่างคุณครูกับผู้ปกครอง ถ้าผู้ปกครองเป็นเนื้อเดียวกับโรงเรียน มีความร่วมมือกับเขต กับตำรวจ โดยร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ปัญหาต่าง ๆ ก็น่าจะแก้ได้อย่างดีขึ้น ไม่ใช่ว่าต่างคนต่างแก้ กทม.เองก็ต้องรับผิดชอบเรื่องกายภาพ ไฟฟ้าส่องสว่าง ทางเดิน กล้อง CCTV ให้มีความพร้อม เขตต้องลงพื้นที่ที่มีการมั่วสุมนอกโรงเรียน
ทั้งนี้ กทม.ต้องถอดบทเรียนเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษา ซึ่งมี 2 ส่วน คือ ที่มาของอาวุธ เอาเข้ามาโรงเรียนได้อย่างไร คงต้องป้องกันตรงนี้ และเรื่องพฤติกรรม เราจะแยกพฤติกรรมนี้ออกมาได้อย่างไร เราจะดูแลเด็กที่อาจจะมีพฤติกรรมที่ควรได้รับการบําบัดหรือว่าทำให้ดีขึ้นอย่างไร ซึ่งคงต้องมีการสร้างความไว้วางใจให้กับเด็ก เพื่อให้เขากล้ามาเล่าให้เราฟัง สื่อสารกับเราด้วยรวดเร็ว สะดวกใจ และไม่กังวล และสุดท้ายแล้วก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ปกครอง ต้องบอกว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยตรง ต้องออกนโยบาย ออกการปฏิบัติ ผอ.โรงเรียนก็ต้องเป็นผู้ที่ช่วยกันปฏิบัติ แต่เราต้องสนับสนุนทุกอย่างเพื่อสร้างความมั่นใจแก่เด็กนักเรียนและผู้ปกครอง
—————–