การประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 5) ประจำปีพุทธศักราช 2566 ซึ่งนายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม ในวันนี้ (30 ต.ค.66) : นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ส่งคืนร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง รถโดยสารประจำทางพลังงานไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ พ.ศ. … จากการหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา และได้คำวินิจฉัยว่ากรุงเทพมหานครไม่มีอำนาจในการออกข้อบัญญัติดังกล่าว และให้กทม.หารือกรมการขนส่งทางบกเพื่อออกข้อบัญญัติ ซึ่งในภาพรวมทุกฝ่ายอยากเห็นสภาพอากาศที่ดีขึ้น จึงต้องขอส่งข้อบัญญัติฉบับนี้คืนกับสภากรุงเทพมหานคร

นายพุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก.เขตยานนาวา กล่าวว่า ในฐานะผู้ที่ยื่นข้อบัญญัตินี้ รู้สึกเสียใจที่ร่างข้อบัญญัติฉบับนี้ไม่ผ่าน ซึ่งเรื่องที่กทม.จะทำได้อาจต้องส่งจดหมายไปยังกรมการขนส่งทางบกเพื่อขอให้มอบอำนาจให้กทม.ออกข้อบัญญัตินี้เองได้ หรือประสานกรมการขนส่งทางบกอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่กำหนดให้เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด หากผ่านไปได้จะถือเป็นผลงานที่สำคัญของสภากทม.และฝ่ายบริหารที่จะผ่านข้อบัญญัติอากาศบริสุทธิ์เพื่อประชาชนทุกคน

จากนั้น นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ส.ก.เขตลาดกระบัง นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ส.ก.เขตจอมทอง นายสมชาย เต็มไพบูลย์กุล ส.ก.เขตคลองสาน ได้ร่วมอภิปรายในประเด็นอำนาจหน้าที่ของสภากรุงเทพมหานครในการออกข้อบัญญัติ

“การดำเนินการของกรุงเทพมหานครในขั้นตอนต่อไป จะได้นำเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม และรัฐบาล เพราะสุดท้ายคือต้องการให้มีรถEVให้มากขึ้น เพื่อให้อากาศสะอาดและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนต่อไป” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว

ประธานสภากทม. กล่าวว่า การที่สภากทม.เป็นห่วงสุขภาพประชาชนเป็นเรื่องที่ดีและทุกคนเห็นชอบร่วมกัน การส่งคืนเรื่องของผู้ว่าฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นไปตามที่ข้อกฎหมายรองรับอยู่ โดยคำสั่งของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ว่า หากมีเรื่องในทางกฎหมายและส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีให้ความเห็น หากกฤษฎีกาให้ความเห็นมาแล้วให้หน่วยงานถือปฏิบัติ ซึ่งในเรื่องข้อบัญญัติ เรื่อง รถโดยสารประจำทางพลังงานไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ พ.ศ. … นี้ ให้ถือว่าไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากไม่ใช่อำนาจของกรุงเทพมหานคร
———————