กรุงเทพมหานครยกระดับการขับเคลื่อนความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศอย่างจริงจัง ✨ ภายใต้นโยบาย “การไม่เลือกปฏิบัติทางเพศ และมาตรการป้องกันการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน” ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบราชการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558⚖️ , กฎ ก.ก. ว่าด้วยจริยธรรมสำหรับข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2564 , ระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการล่วงละเมิดทางเพศ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 📚
🎯 เป้าหมายคือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพในศักดิ์ศรี 💖 ปราศจากการเลือกปฏิบัติ และสามารถพัฒนาเต็มศักยภาพได้ ไม่ว่าจะมีเพศสภาพหรือเพศวิถีใด
.
💬 รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า
“ความเท่าเทียมไม่ใช่แค่การรับรู้ว่าเรามีเพศหลากหลายในองค์กร แต่คือบุคลากรในองค์กรทุกคนสามารถที่จะปฏิบัติตามเพศวิถีและเพศสภาพที่เรามีอยู่ได้ อยากแต่งตัวอย่างไร หรืออยากจะปฏิบัติตนอย่างไรก็ได้ ตราบเท่าที่เราอยู่ในวินัยที่ดีของการเป็นข้าราชการที่มีความซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อประชาชน หรือแม้กระทั่งเรื่อง Sexual Harassment องค์กรจะต้องปกป้อง ไม่ให้เกิดบรรยากาศที่อึดอัดหรือรังแกกัน ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมาจากเรื่องของเพศสภาพ เพศวิถี หรือการใช้อำนาจบังคับกัน”
.
ความหลากหลายที่สัมผัสได้จากการทำงานจริง
เสียงสะท้อนจากบุคลากรหลายคนในสังกัด กทม. ชี้ให้เห็นว่านโยบายความเท่าเทียมนี้เกิดขึ้นจริง
👨‍💼 นิพิฐพนธ์ จิรเมธาธร (บูม) เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเลขานุการผู้ว่าฯ เล่าว่า “สัมผัสได้ว่าสังคมการทำงานใน กทม. เป็นสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะอายุ เพศ หรือตำแหน่ง เมื่อทุกคนได้รับการสนับสนุนให้พัฒนา เติบโตอย่างเท่าเทียม ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เราทำงานร่วมกันได้อย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ” นอกจากนี้ยังกล่าวถึงช่องทางร้องเรียน เช่น Traffy Fondue และ ศูนย์ กทม. 1555 ที่มีไว้รองรับกรณีการเลือกปฏิบัติหรือคุกคามทางเพศ ซึ่งทำให้รู้สึกปลอดภัยทั้งกายและใจ
.
ครูในโรงเรียนก็มีบทบาทสร้างความเข้าใจตั้งแต่รากฐาน
🧑‍🏫 ครูอีสซี่ กันตพัฒน์ สุวรรณเรือง จากโรงเรียนวัดปทุมวนาราม สะท้อนว่า “บทบาทของครูสำคัญมากในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ โดยแสดงออกให้เห็นชัดว่าทุกคนมีคุณค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นเพศชาย หญิง หรือเพศหลากหลาย และตั้งกติกาในห้องเรียนให้เคารพกันจริง เด็กจะเรียนรู้จากตรงนั้นไปเองว่า ความหลากหลายไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาล้อกัน”
และครูอีสซี่ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า “หากสังคมในโรงเรียนกล้ายอมรับและให้อิสระทางเพศแก่ผู้เป็นครูโดยที่ยังรักษามาตรฐานวิชาชีพไว้ได้ จะทำให้เด็กเองก็เรียนรู้ที่จะเคารพความแตกต่างของแต่ละเพศได้ด้วยเหมือนกัน โดยไม่ต้องรอหลักสูตรใหญ่โต แค่ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ตัดโอกาส และฟังเสียงนักเรียนอย่างเท่าเทียม ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงแล้ว”
.
ในอาชีพที่ผู้หญิงน้อย แต่โอกาสเท่ากัน
👩‍🚒 ดาราณี เดวามัด (ต๊ะ) พนักงานดับเพลิงหญิงของ กทม. เล่าว่า “งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมักถูกมองว่าเหมาะกับผู้ชาย แต่นโยบายของ กทม. ให้ความสำคัญกับความเสมอภาคในการสรรหาและคัดเลือก โดยไม่มีการจำกัดเพศ ทำให้ในที่ทำงาน ทุกคนให้เกียรติกัน ไม่ได้มองว่าผู้หญิงทำงานน้อยกว่าหรือมีความสามารถด้อยกว่า เรามีเป้าหมายเดียวกันคือช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัย รวมถึงเรื่องสวัสดิการก็ได้รับเท่าเทียมกันหมดไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม”
.
สวัสดิการที่สนับสนุนบทบาทของ “พ่อ” ในครอบครัว
👨‍🍼 ว่าที่ ร.ต.ปรัชญา แสงดี (กอล์ฟ) จากสำนักงาน ก.ก. เล่าว่า “การที่ กทม. ให้สิทธิ์การลาตามระเบียบของข้าราชการอย่างเท่าเทียมสำหรับทุกคน รวมถึงการลาเพื่อช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ทำให้ได้มีบทบาทในครอบครัวมากขึ้น ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างพ่อแม่ลูก และสะท้อนว่าองค์กรให้ความสำคัญกับบทบาทของพ่อเท่ากันกับแม่ มองว่าผู้ชายเอง ก็สามารถดูแลบ้านและครอบครัวร่วมกันได้ ไม่ใช่แค่รับผิดชอบการทำงานนอกบ้าน หรือมีหน้าในที่ทำงานอย่างเดียว”
.
กลไกเชิงระบบเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
🤵🏻‍♂️ สิบเอก เชาวน์พิชาญ เตโช (โด่ง) นักจิตวิทยาชำนาญการ และผู้เชี่ยวชาญด้านเพศสภาพของ กทม. กล่าวว่า “จากประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนโครงการ Gender Equality Seal for Public Institutions ร่วมกับ UNDP โดยจัดทำสื่อความรู้ จัดอบรม และให้คำปรึกษาเรื่องเพศสภาพในหน่วยงานต่าง ๆ การสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและระบบการเรียนรู้ที่ทันสมัย ช่วยให้ข้าราชการทุกระดับเข้าถึงความรู้เรื่องความเท่าเทียมได้จริง”
.
We All Pride! กทม. “รัก เข้าใจ ศักดิ์ศรี เท่าเทียม”
#บางกอกไพรด์ #BangkokPride2025 #กรุงเทพมหานคร #กทม #กรุงเทพดีได้ทุกด้าน #9ด้าน9ดี #สังคมดี