(19 ธ.ค. 66) ณ ห้องสุทัศน์ ชั้น 2 ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร (Chief Sustainability Officer) พร้อมด้วย นายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและโฆษกของกรุงเทพมหานคร จัดประชุมแนวทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในช่วงวิกฤตฝุ่น PM2.5 โดยมีผู้บริหารสำนักสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารสำนักงานประชาสัมพันธ์ และสื่อมวลชน เข้าร่วมหารือแสดงความคิดเห็น
นายพรพรหม เปิดเผยว่า ด้วยปัจจุบันสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในกรุงเทพมหานครและประเทศไทยมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประขาชน กทม.จึงได้ดำเนินการเชิงรุกในเรื่องการแก้ปัญหาฝุ่นละอองในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยแบ่งสาเหตุหลักออกเป็น 3 สาเหตุ คือ 1. ยานพาหนะหรือรถยนต์ 2. การเผาในที่โล่ง และ 3. ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจัยใหญ่ที่สุดของต้นเหตุฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ คือ ยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่ง โดยกทม.ดำเนินการเชิงรุกด้วยการเข้าไปตรวจในไซต์ก่อสร้าง โดยนอกจากตรวจเรื่องฝุ่นจากการก่อสร้างแล้วยังตรวจควันดำของยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งด้วย หากพบปัญหาค่าฝุ่นเกินมาตรฐานจะมีการแจ้งเตือน 2 ครั้ง และหากยังไม่ดำเนินการแก้ไขจะยึดใบอนุญาตก่อสร้างทันที นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือบริษัทน้ำมันและค่ายรถยนต์ประมาณ 16 ราย จัดทำโปรโมชันเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้ในราคาที่ถูกและไม่กระทบต่อรายได้ของประชาชนและผู้ประกอบการ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการร่วมแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จากเครื่องยนต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดฝุ่น PM2.5 ในเมืองกรุงได้กว่า 50%
ในส่วนของการเผาชีวมวลในที่โล่ง กทม.ได้ส่งเสริมเรื่องของรถบีบอัดฟางที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกษตรกรลดการเผาฟางและนำฟางไปจำหน่าย สร้างรายได้ให้เกษตรกรและยังเป็นการลดปัญหาฝุ่น PM2.5 จากการเผาในที่โล่งได้ด้วย โดยดำเนินการแล้วที่เขตฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองจอก เขตคลองสามวา สำหรับการเผาชีวมวลในปริมณฑล กทม.จะประสานความร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ เพื่อกวดขันและป้องกันให้เข้มข้น รวมถึงในส่วนของการเผาในที่โล่งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศและมีผลกระทบกับคนกรุงเทพฯ กทม.จะประสานกับรัฐบาลเพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศต่อไป ซึ่งในปัจจุบันมีการตั้ง War Room แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยเฉพาะ และกทม.ได้ตั้งเป้าหมายลดการเผาในที่โล่งให้เป็น 0% ให้สำเร็จในอนาคต
นอกจากนี้ กทม.ได้พัฒนาช่องทางสื่อสารและการแจ้งเตือนเรื่องฝุ่น PM2.5 ไปสู่ประชาชนผ่านสื่อมวลชนในช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปรับพฤติกรรม รวมถึงระบบแจ้งเตือนไปยังเครือข่ายบริษัทกว่า 150 บริษัท ซึ่งมีพนักงานกว่า 50,000 คน ที่สามารถประกาศให้พนักงาน Work from Home ในช่วงวิกฤต PM2.5 ได้ทันที และในส่วนความปลอดภัยด้านสุขภาพของนักเรียนอนุบาล กทม.จัดให้มีห้องปลอดฝุ่นแล้ว 758 ห้อง ครอบคลุมในชั้นอนุบาล 1 ครบถ้วน ซึ่งกทม.มีห้องเรียนอนุบาลทั้งหมด 1,743 ในปีนี้จะดำเนินการต่อไปในชั้นอนุบาล 2 และ 3 ทั้งนี้ กทม.มีมาตรการที่ชัดเจนมอบให้กับโรงเรียนในสังกัด อาทิ โครงการธงโรงเรียน แจ้งเตือนฝุ่นด้วยธงสีต่าง ๆ สร้างความตระหนักเรื่องฝุ่นให้นักเรียน หากฝุ่นมีค่าสีแดงให้ผอ.โรงเรียนพิจารณาปิดการเรียนการสอนได้โดยให้พิจารณาเป็นกรณีไป เนื่องจากในบางสถานการณ์การที่นักเรียนอยู่ที่โรงเรียนในการควบคุมของคุณครูที่ไม่ให้นักเรียนทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็จะมีความปลอดภัยจากฝุ่น PM2.5 มากกว่าอยู่บ้าน เป็นต้น และกทม.ยังได้ประสานความร่วมมือและประชาสัมพันธ์มาตรการต่าง ๆ ไปยังโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งสังกัด สพฐ.และเอกชนเพื่อความร่วมมือแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ร่วมกันอีกด้วย
ด้านนายเอกวรัญญู กล่าวเสริมว่า กรุงเทพมหานครได้ร่วมมือกับหลายองค์กรในการดำเนินการตามมาตรการควบคุมและลดปริมาณฝุ่นละออง พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนให้ข้อมูลแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การสื่อสาร การแจ้งเตือนประชาชน และการให้ข้อมูลข่าวสารในช่วงวิกฤตฝุ่น PM2.5 ไปถึงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง อาทิ การขอความร่วมมือสื่อมวลชนเพิ่มช่องทางเผยแพร่ความรู้ด้านฝุ่น PM2.5 ในช่วงการพยากรณ์อากาศ เช่น การเสริมการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองในพื้นที่กรุงเทพฯ 3-7 วันข้างหน้า แนวโน้มการระบายอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ สรุปจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ผลการตรวจแหล่งกำเนิดฝุ่น จำนวนผู้ป่วย วิธีการดูแลตัวเอง แนวทางการรักษาสุขภาพ ข่าวสารนโยบาย/มาตรการลดฝุ่น ข้อร้องเรียนผ่านระบบ Traffy Fondue และการแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้ถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 ของคนกรุงเทพฯ การดูแลป้องกันสุขภาพจากอันตรายของฝุ่น PM2.5 รวมถึงการเสริมสร้างความร่วมมือของภาคประชาชนกับหน่วยงานภาครัฐในการลดแหล่งกำเนิดฝุ่น นอกจากนี้ กทม.ยังเปิดกลุ่มไลน์ “ห้องข่าวฝุ่น PM2.5 BMA” เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่าง กทม. กับ สื่อมวลชน ในเรื่องของฝุ่น PM2.5 โดยเฉพาะ ให้สื่อมวลชนสามารถเผยแพร่ข่าวสารและความรู้ไปสู่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว ยิ่งขึ้น
#สิ่งแวดล้อมดี
———–