หนุนดึงคนเก่งเข้าเมืองช่วยพัฒนาเศรษฐกิจได้
กทม. – เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเปิดงานการประชุมเสวนา Bangkok as Regional Headquarters Symposium โดยมี นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. และผู้แทนนักลงทุนจากต่างชาติเข้าร่วม
นายชัชชาติกล่าวว่า หากพูดถึงกทม. หลายคนนึกถึงเรื่องรถติด น้ำเสีย มลพิษ แต่สิ่งสำคัญของเมืองคือเรื่องเศรษฐกิจหรือตลาดแรงงาน ซึ่งเมืองจะมีคุณภาพได้ต้องมีการลงทุนที่มีคุณภาพ มีการ จ้างงาน มีคนเก่งมาอยู่ในเมือง ส่วนตัวเชื่อว่าในอนาคตหน้าที่ของ กทม.คือการดึงคนเก่งมาที่เมือง เมืองจึงไม่ได้มีหน้าที่ดูแลเฉพาะ เรื่องความสะอาด สิ่งแวดล้อม แต่ต้องดูแลผู้ที่มาลงทุนอย่างเหมาะสม และกทม.พร้อมอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างชาติในด้านมาตรการต่างๆ เพื่อให้การลงทุนดำเนินไปด้วยดี เช่น การขอใบอนุญาต ต่างๆ กทม.เตรียมจัดตั้งศูนย์ปรึกษาปัญหาแก่นักลงทุนต่างชาติเพื่อนำไป แก้ไขอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่อไป เป็นสิ่งที่ กทม.ตั้งใจ เพื่อให้การลงทุนมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะเชื่อว่า ผู้ลงทุนคือส่วนหนึ่งของเมือง เป็นผู้จ้างงาน และสร้างงาน ส่งผลต่อเศรษฐกิจหมุนเวียนในเมืองต่อไป
ด้านนางเกษรา ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงความพร้อมในการรองรับ นักลงทุนต่างชาติ ว่า กทม.ติดอันดับด้านการท่องเที่ยวเหนือกว่าเมืองปารีสตั้งแต่ปี 2018 และหลังจากสถานการณ์โควิด กรุงเทพฯ กลับมาเป็นที่ 1 เหมือนเดิม นอกจากนี้ ยังติดอันดับโลกสำหรับเมืองที่มีผู้นิยมมาทำงาน และเป็นที่ 1 ของเอเชียด้านความปลอดภัยสาธารณสุข เนื่องจากกรุงเทพฯ มีประชากรถึง 11 ล้านคน มีความหลากหลาย ด้านเชื้อชาติ และการท่องเที่ยว จึงเหมาะสมแก่การลงทุนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนโยบายทั้ง 216 ข้อของกทม. สรุปภาพรวมคือ ต้องการให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ทุกชาติ ทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ นโยบายเด่นสำหรับนักลงทุน ประกอบด้วย 1.ความโปร่งใส กทม.มีนโยบายเปิดเผยข้อมูล นักลงทุนสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียด ก่อนตัดสินใจลงทุนได้ 2.Bangkok Metropolitan Administration One Stop Service (BMA OSS) การขอใบอนุญาตออนไลน์ เพื่อความสะดวก ลดโอกาสทุจริต 3.Ecosystem กทม.มีสถานที่ให้นักลงทุนครบทุกมิติ เช่น การจัดประชุม แสดงสินค้า ซึ่งเป็นสถานที่ระดับโลก และมีราคาถูก 4.กทม.เต็มไปด้วยผู้ที่มีความสามารถ มีการพัฒนาทักษะ ด้านต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อรองรับการลงทุน
5.ค่าแรงต่ำกว่าประเทศสิงคโปร์ 23% และมีออฟฟิศเกรดเอรองรับนักลงทุน ปัจจุบันว่างอยู่ประมาณ 20% ราคาประมาณ 1,000 บาทต่อตารางเมตร ถูกกว่าสิงคโปร์ 32% นักลงทุนสามารถแข่งขัน ด้านควบคุมต้นทุนได้ 6.ด้านคุณภาพชีวิต กทม.มีรถไฟฟ้าครอบคลุมทุกพื้นที่ในอนาคต และการสัญจรรูปแบบต่างๆ รองรับ เช่น เรือไฟฟ้า 7.ความปลอดภัยเชิงสุขภาพ กทม.มีอันดับด้านสาธารณสุขที่ดี สามารถรองรับการรักษาชาวต่างชาติได้ เช่น มีล่ามภาษาญี่ปุ่นในโรงพยาบาล และแพทย์ที่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ 8.ด้านธรรมชาติ กทม. มีสวนสาธารณะหลักต่างๆ และสวนสาธารณะ 15 นาทีใกล้บ้านกว่า 100 สวน เพื่อรองรับอีกมิติหนึ่งของชีวิตในเมือง 9.ด้านช็อปปิ้ง กทม.มีห้างสรรพสินค้า มีโรงเรียนนานาชาติกว่า 52 แห่ง รองรับผู้มาอยู่อาศัยได้หลากหลายเชื้อชาติ 10.โดยภาพรวม กทม.มีค่าครองชีพต่ำกว่าประเทศสิงคโปร์ถึง 35%
นอกจากนี้ กทม.ยังมีที่พักอาศัยมากมาย สามารถรองรับการขยายธุรกิจ ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนพบปัญหาที่ กทม.อาจยังไม่ทราบ สามารถแจ้ง กทม.ได้โดยตรง เพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่อไป
ที่มา: นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ 28 มิ.ย. 2566